ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกทำสถิติสูงสุดอีกครั้งในวันพุธ (1 ต.ค.) โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ที่พุ่งขึ้น ขณะที่นักลงทุนยังเผชิญความไม่แน่นอนจากการปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดตลาดที่ระดับ 9,446.43 จุด เพิ่มขึ้น 96.00 จุด หรือ +1.03%
ดัชนี FTSE 100 ทำลายสถิติสูงสุดเดิมที่เพิ่งทำไว้เมื่อวันอังคาร
หุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์พุ่งขึ้น 8.7% หลังจากบริษัท Pfizer และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ระบุว่า บริษัทผู้ผลิตยาสัญชาติสหรัฐฯ ตกลงลดราคายาในโครงการ Medicaid แลกกับการผ่อนปรนภาษี
หุ้น AstraZeneca พุ่งขึ้น 11.2% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นรายวันที่มากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2560 ขณะที่หุ้น Hikma Pharmaceuticals และ GSK ขยับขึ้น 5.7% และ 6.1% ตามลำดับ สอดคล้องกับหุ้นเฮลท์แคร์ของยุโรปที่พุ่งขึ้นเช่นกัน
หุ้น Greggs พุ่งขึ้น 6.4% หลังจากเชนเบเกอรี่และฟาสต์ฟู้ดรายนี้รายงานว่า ยอดขายรวมไตรมาสสามเพิ่มขึ้น 6.1% โดยชี้ว่าธุรกิจดีขึ้นในช่วงเดือนส.ค.และก.ย.
ในด้านข้อมูลเศรษฐกิจ กิจกรรมการผลิตของสหราชอาณาจักรหดตัวเร็วที่สุดในรอบ 5 เดือนในเดือนก.ย. สะท้อนถึงอุปสงค์ภายในประเทศที่อ่อนแอและคำสั่งซื้อส่งออกที่ลดลง ขณะเดียวกัน Nationwide Building Society รายงานว่า ราคาบ้านในเดือนก.ย. ปรับตัวขึ้น 0.5% สูงกว่าที่คาด โดยดัชนีหุ้นกลุ่มผู้สร้างบ้านปิดบวก 1.2%
แต่ดัชนีหุ้นกลุ่มอากาศยานและกลาโหมร่วงลง 1% หลังจากพุ่งขึ้นกว่า 2% ในวันอังคาร
สำหรับหุ้นรายตัวนั้น หุ้น Tate & Lyle กลายเป็นแรงกดดันหลักต่อดัชนี หลังผู้ผลิตวัตถุดิบอาหารรายนี้เตือนว่ากำไรและรายได้ประจำปีจะลดลงจากอุปสงค์ที่ซบเซาในภูมิภาคอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดสำคัญ โดยราคาหุ้นดิ่งลง 13% แตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2552
สำหรับปัจจัยในระดับโลกนั้น ตลาดยังคงเผชิญความไม่แน่นอนจากการปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เริ่มมีผลในวันพุธ ขณะที่บรรดานักลงทุนยังคงจับตาสัญญาณเกี่ยวกับทิศทางนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อย่างใกล้ชิด