ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันพฤหัสบดี (2 ต.ค.) โดยดัชนีหลักทั้ง 3 ดัชนีปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยได้ปัจจัยหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ขณะที่นักลงทุนประเมินข้อมูลตลาดแรงงานจากภาคเอกชนอย่างระมัดระวัง ในช่วงเวลาที่หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ ถูกปิดดำเนินการ หรือชัตดาวน์ เป็นวันที่สอง
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 46,519.72 จุด เพิ่มขึ้น 78.62 จุด หรือ +0.17%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,715.35 จุด เพิ่มขึ้น 4.15 จุด หรือ +0.06% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 22,844.05 จุด เพิ่มขึ้น 88.89 จุด หรือ +0.39%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งรวมถึงหุ้น Nvidia ผู้ผลิตชิปปัญญาประดิษฐ์ (AI) รายใหญ่ของสหรัฐฯ ที่ปรับตัวขึ้น 0.9% ขณะที่หุ้น Apple บวก 0.6% และหุ้น Broadcom พุ่งขึ้น 1.4% ส่วนดัชนีหุ้นเซมิคอนดักเตอร์ที่ตลาดหุ้นฟิลาเดลเฟีย (Philadelphia SE Semiconductor Index) ดีดตัวขึ้น 1.9% แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ ได้เลื่อนการรายงานตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนก.ย.ออกไปจากกำหนดการเดิมในวันนี้ (3 ต.ค.) เนื่องจากสถานการณ์ชัตดาวน์ ทำให้นักลงทุนหันไปจับตาข้อมูลแรงงานจากภาคเอกชน โดยข้อมูลจากแชลเลนเจอร์ เกรย์ แอนด์ คริสต์มาส (Challenger, Gray & Christmas) ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านแรงงานของสหรัฐฯ ระบุว่า นายจ้างในสหรัฐฯ ประกาศเลย์ออฟพนักงานน้อยลงในเดือนก.ย. แต่แผนการจ้างงานนับตั้งแต่ต้นปีนี้อยู่ที่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2552
การเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวมีขึ้นหลังจาก ออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) รายงานเมื่อวันพุธว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐฯ ลดลง 32,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดในรอบ 2 ปีครึ่งหรือนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2566 และสวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 52,000 ตำแหน่ง
ข้อมูลแรงงานที่ซบเซาเหล่านี้ทำให้นักลงทุนคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้ ซึ่งรวมถึงการลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนต.ค. โดยล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 99.9% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมวันที่ 28-29 ต.ค.
ฟิทช์ เรทติ้งส์ ออกรายงานระบุว่า การที่สหรัฐฯ เผชิญภาวะชัตดาวน์ในขณะนี้ จะไม่ส่งผลกระทบต่ออันดับความน่าเชื่อถือในระยะใกล้ ส่วนผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจนั้น จะขึ้นอยู่กับว่าภาวะชัตดาวน์จะขยายวงกว้างและยืดเยื้อนานเพียงใด ขณะที่เอสแอนด์พี โกลบอล เรทติ้งส์ ระบุว่า โดยปกติแล้วภาวะชัตดาวน์มักส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวมเพียงเล็กน้อย และไม่ถือเป็นปัจจัยที่จะนำไปสู่การปรับเปลี่ยนอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ
หุ้นกลุ่มวัสดุพุ่งขึ้น 1.05% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มในดัชนี S&P500 ตามด้วยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดีดตัวขึ้น 0.5% ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลงมากที่สุด โดยร่วงลง 1.02% ตามด้วยหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยลดลง 0.7% โดยหุ้นกลุ่มนี้ได้รับแรงกดดันจากหุ้นเทสลา (Tesla) ที่ร่วงลง 5.1% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดนับตั้งแต่ปลายเดือนก.ค.
หุ้นเทสลาอ่อนแรงลงหลังจากเคยทำผลงานได้ดีในช่วงก่อนหน้านี้ อันเนื่องมาจากยอดการส่งมอบรถยนต์รายไตรมาสที่แข็งแกร่ง ขณะที่นักวิเคราะห์บางรายมองว่า เทสลามีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับยอดขายชะลอตัวลงในหลายไตรมาสข้างหน้า เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ยกเลิกนโยบายลดหย่อนภาษีจำนวน 7,500 ดอลลาร์สำหรับผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า
หุ้น Occidental Petroleum ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซ ร่วงลง 7.3% หลังจากบริษัทเบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์ (Berkshire Hathaway) ของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ได้บรรลุข้อตกลงซื้อกิจการ OxyChem ซึ่งเป็นธุรกิจปิโตรเคมีของ Occidental Petroleum ด้วยเงินสดมูลค่า 9.7 พันล้านดอลลาร์