ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันอังคาร (7 ต.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) สาขานิวยอร์กเปิดเผยผลสำรวจซึ่งบ่งชี้ว่า ผู้บริโภคชาวอเมริกันมีความกังวลเกี่ยวกับทิศทางตลาดแรงงานและเงินเฟ้อ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 46,602.98 จุด ลดลง 91.99 จุด หรือ -0.20%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,714.59 จุด ลดลง 25.69 จุด หรือ -0.38% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 22,788.36 จุด ลดลง 153.30 จุด หรือ -0.67%
ดัชนีหลักทั้ง 3 ดัชนีปรับตัวลง หลังจากเฟดสาขานิวยอร์กเปิดเผยผลสำรวจการคาดการณ์ของผู้บริโภค (Survey of Consumer Expectations) ประจำเดือนก.ย. ซึ่งพบว่า ชาวอเมริกันมีความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับอนาคตของตลาดแรงงาน โดยคาดว่าอัตราว่างงานจะปรับตัวสูงขึ้น และมีความวิตกกังวลว่าจะตกงานในอนาคต จึงทำให้ผู้บริโภคมีแผนที่จะลดการใช้จ่าย ท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต นอกจากนี้ ผู้บริโภคต่างก็คาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะปรับตัวสูงขึ้นในระยะใกล้นี้
ทั้งนี้ การที่หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ ยังคงถูกปิดดำเนินการเนื่องจากขาดงบประมาณ หรือชัตดาวน์ ได้ทำให้นักลงทุนขาดข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญ และหันไปพึ่งพาข้อมูลจากแหล่งอื่น ๆ ซึ่งรวมถึงข้อมูลจากองค์กรอิสระ และการแสดงความเห็นของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้แนวโน้มเศรษฐกิจและนโยบายการเงิน
การชัตดาวน์ได้ย่างเข้าสู่วันที่ 7 ในวันอังคาร หลังจากวุฒิสภาสหรัฐฯ ประสบความล้มเหลวเป็นครั้งที่ 5 ในการอนุมัติร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราว เนื่องจากพรรครีพับลิกันและเดโมแครตยังคงมีความขัดแย้งกัน โดยพรรครีพับลิกันต้องการผลักดันร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวเพื่อคงการจัดสรรงบประมาณในระดับปัจจุบันไปจนถึงวันที่ 21 พ.ย. แต่พวกเขาจำเป็นต้องได้เสียงสนับสนุนจากพรรคเดโมแครตอย่างน้อย 7 เสียงในวุฒิสภาเพื่อผ่านร่างกฎหมายดังกล่าว
ด้านพรรคเดโมแครตยื่นข้อเรียกร้องหลายประการ รวมถึงการให้ร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวต้องมีการขยายสิทธิประโยชน์ด้านภาษี Obamacare ก่อนที่จะหมดอายุในช่วงสิ้นปีนี้ โดยสิทธิประโยชน์ดังกล่าวจะช่วยลดค่าเบี้ยประกันสุขภาพสำหรับผู้เอาประกันจำนวนมากที่ลงทะเบียนในโครงการประกันสุขภาพตามกฎหมาย Affordable Care Act แต่พรรครีพับลิกันปฏิเสธ โดยกล่าวหาว่าเดโมแครตกำลัง "จับรัฐบาลเป็นตัวประกัน" เนื่องจากไม่ยอมให้มีการผ่านงบประมาณ เว้นแต่จะได้ตามข้อเรียกร้องด้านสิทธิประโยชน์ดังกล่าว
หุ้น 6 ใน 11 กลุ่มในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยร่วงลง 1.43% ตามด้วยหุ้นกลุ่มบริการด้านการสื่อสารปรับตัวลง 0.73% ส่วนหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวขึ้นมากที่สุด โดยดีดตัวขึ้น 0.86% ตามด้วยหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคปรับตัวขึ้น 0.42%
สำหรับหุ้นรายตัวนั้น หุ้น Tesla ร่วงลง 4.5% หลังจากบริษัทเปิดตัว Model Y ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นราคาถูก
หุ้น AMD ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของสหรัฐฯ ดีดตัวขึ้น 3.8% หลังจากนักวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ Jefferies ได้ปรับเพิ่มคำแนะนำการลงทุนในหุ้น AMD สู่ระดับ "Buy" ในขณะที่บริษัทโบรกเกอร์รายอื่น ๆ ได้ปรับเพิ่มเป้าหมายราคาหุ้น AMD หลังจากบริษัทบรรลุข้อตกลงทางธุรกิจกับ OpenAI
หุ้น Constellation Brands ซึ่งเป็นผู้ผลิตเบียร์ Corona ดีดตัวขึ้น 1% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายลดลงน้อยกว่าคาดในไตรมาส 2 ขณะที่หุ้น IBM ปรับตัวขึ้น 1.5% หลังจากทางบริษัทประกาศความร่วมมือกับ Anthropic ซึ่งเป็นสตาร์ตอัปด้าน AI
ส่วนหุ้นบริษัทคริปโทเคอร์เรนซีปรับตัวลง ซึ่งรวมถึงหุ้น Coinbase, หุ้น Strategy, หุ้น Riot Platforms และหุ้น MARA Holdings หลังจากราคาบิตคอยน์อ่อนตัวลงจากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
การที่หน่วยงานของรัฐบาลยังคงถูกชัตดาวน์และส่งผลให้ไม่มีการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจในระยะนี้ ทำให้นักลงทุนหันไปจับตาถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดในสัปดาห์นี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ย ซึ่งรวมถึงการกล่าวสุนทรพจน์ของเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ในการประชุมว่าด้วยธนาคารชุมชนที่กรุงวอชิงตัน ดีซี ในวันที่ 9 ต.ค. เวลา 08.30 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือ 19.30 น.ตามเวลาไทย