ดาวโจนส์ปรับตัวแคบ หลัง "พาวเวล" ไม่ได้ส่งสัญญาณดอกเบี้ย

ข่าวต่างประเทศ Thursday October 9, 2025 20:45 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวแคบ หลังจากที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ไม่ได้ส่งสัญญาณอัตราดอกเบี้ยในการกล่าวสุนทรพจน์วันนี้

ณ เวลา 20.37 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 46,645.83 จุด บวก 44.05 จุด หรือ 0.09%

ทั้งนี้ นายพาวเวลกล่าวเปิดการประชุมว่าด้วยธนาคารชุมชนในวันนี้ โดยเป็นการกล่าวผ่านคลิปวิดีโอที่มีการบันทึกไว้ล่วงหน้า และมีความยาวเพียง 3 นาที

นายพาวเวลกล่าวขอโทษที่ไม่สามารถมาร่วมงานได้ด้วยตนเอง เนื่องจากติดภารกิจอยู่ในระหว่างการเดินทาง และเขาได้กล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ของคณะกรรมการเฟดที่ได้จัดการประชุมดังกล่าว

นอกจากนี้ นายพาวเวลยังได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของธนาคารชุมชนต่อระบบการเงินของสหรัฐ โดยกล่าวว่า ธนาคารเหล่านี้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับท้องถิ่น ทำให้มีความเข้าใจที่ดีต่อลูกค้าและสภาพเศรษฐกิจในแต่ละพื้นที่

นายพาวเวลย้ำว่า เฟดมีความมุ่งมั่นที่จะรับฟังความคิดเห็นของผู้บริหารธนาคารชุมชน รวมทั้งรับทราบปัญหาของพวกเขา และปรับการกำกับดูแลให้เหมาะสม เพื่อรักษาเสถียรภาพและความน่าเชื่อถือของระบบธนาคาร

อย่างไรก็ดี ในการกล่าวถ้อยแถลงในวันนี้ นายพาวเวลไม่ได้ระบุถึงแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ หรือทิศทางนโยบายการเงินของเฟดแต่อย่างใด

การปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐ หรือชัตดาวน์ ได้ย่างเข้าสู่วันที่ 9 ท่ามกลางความหวังริบหรี่ที่จะเห็นวุฒิสภาสหรัฐอนุมัติร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราว เนื่องจากยังไม่มีความคืบหน้าในการเจรจาระหว่างพรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน

วุฒิสภาสหรัฐประสบความล้มเหลวเป็นครั้งที่ 6 วานนี้ หลังจากไม่สามารถผ่านร่างกฎหมายเพื่อจัดสรรงบประมาณชั่วคราวเพื่อให้รัฐบาลสามารถเปิดทำการจนถึงวันที่ 21 พ.ย. โดยจำนวนเสียงที่ให้การอนุมัติต่ำกว่าเกณฑ์ 60 เสียงที่จำเป็นสำหรับการผ่านร่างกฎหมายในวุฒิสภา

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพิ่มแรงกดดันต่อสภาคองเกรสให้เร่งพิจารณาอนุมัติงบประมาณชั่วคราว โดยเตือนว่าเขาอาจขัดขวางไม่ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ถูกพักงานได้รับค่าจ้างย้อนหลังเมื่อการชัตดาวน์สิ้นสุดลง

นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ยังขู่ว่าจะปลดเจ้าหน้าที่ของรัฐบางส่วน และตัดงบประมาณของโครงการภาครัฐ หากการชัตดาวน์ยังคงดำเนินต่อไป

สหรัฐเข้าสู่ภาวะชัตดาวน์อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 ต.ค. ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 7 ปี และครั้งที่ 3 ภายใต้การบริหารของปธน.ทรัมป์

เหตุการณ์ชัตดาวน์ในครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 15 นับตั้งแต่ปี 2524 และเป็นการปิดหน่วยงานรัฐบาลที่ยาวนานเป็นอันดับ 4 ในประวัติศาสตร์สหรัฐ โดยจะมีระยะเวลามากกว่าการชัตดาวน์ 6 วันที่เกิดขึ้นในปี 2538 ส่วนการชัตดาวน์ที่ยาวนานที่สุดกินเวลาถึง 35 วัน โดยเกิดขึ้นในวันที่ 22 ธ.ค.2561-25 ม.ค.2562 ขณะที่ปธน.ทรัมป์ดำรงตำแหน่งสมัยแรก

อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันจะเผชิญแรงกดดันให้หาทางยุติภาวะชัตดาวน์ภายในสัปดาห์หน้า เพื่อหลีกเลี่ยงการที่ทหารประจำการกว่า 1.3 ล้านนาย รวมทั้งสมาชิกกองกำลังพิทักษ์ชาติหลายแสนนาย และเจ้าหน้าที่พลเรือนจำนวนมากของกระทรวงกลาโหม จะไม่ได้รับเงินเดือนตามกำหนดในวันที่ 15 ต.ค. หากการชัตดาวน์ยังคงยืดเยื้อต่อไป

ทั้งนี้ พรรครีพับลิกัน ซึ่งครองทำเนียบขาวและมีเสียงข้างมากเพียงเล็กน้อยทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ต้องการผลักดันร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวเพื่อคงการจัดสรรงบประมาณในระดับปัจจุบันไปจนถึงวันที่ 21 พ.ย. โดยพวกเขาจำเป็นต้องได้เสียงสนับสนุนจากพรรคเดโมแครตอย่างน้อย 7 เสียงในวุฒิสภาเพื่อผ่านร่างกฎหมายดังกล่าว

อย่างไรก็ดี พรรคเดโมแครตยื่นข้อเรียกร้องหลายประการ รวมถึงการให้ร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวต้องมีการขยายสิทธิประโยชน์ด้านภาษี Obamacare ที่เพิ่มขึ้น ก่อนที่จะหมดอายุในช่วงสิ้นปีนี้ โดยสิทธิประโยชน์ดังกล่าวจะช่วยลดค่าเบี้ยประกันสุขภาพสำหรับผู้เอาประกันจำนวนมากที่ลงทะเบียนในโครงการประกันสุขภาพตามกฎหมาย Affordable Care Act แต่พรรครีพับลิกันปฏิเสธ โดยกล่าวหาว่าเดโมแครตกำลัง "จับรัฐบาลเป็นตัวประกัน" เนื่องจากไม่ยอมให้มีการผ่านงบประมาณ เว้นแต่จะได้ตามข้อเรียกร้องด้านสิทธิประโยชน์ดังกล่าว

แกนนำรีพับลิกันยืนยันว่า การผ่านร่างกฎหมายต่ออายุการจัดสรรงบประมาณแบบ "สะอาด" ของพวกเขา โดยไม่มีการพ่วงสิทธิประโยชน์ที่กำลังเป็นที่ถกเถียงกัน ไม่ใช่เกมการเมือง และการเจรจาแก้ไขความขัดแย้งสามารถดำเนินต่อไปได้โดยไม่ต้องปิดหน่วยงานรัฐบาล


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ