ดาวโจนส์พลิกพุ่งกว่า 300 จุด ขานรับผลประกอบการแบงก์แกร่ง

ข่าวต่างประเทศ Wednesday October 15, 2025 00:38 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์พลิกพุ่งขึ้นกว่า 300 จุด ขานรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งของภาคธนาคาร หลังดิ่งลงในช่วงแรก

ณ เวลา 00.30 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 46,451.43 จุด บวก 383.85 จุด หรือ 0.83%

หุ้นกลุ่มธนาคารดีดตัวขึ้นในวันนี้ หลังการประกาศผลประกอบการที่แข็งแกร่งของเจพีมอร์แกน เชส ธนาคารขนาดใหญ่ที่สุดของสหรัฐ และเวลส์ ฟาร์โก ธนาคารขนาดใหญ่อันดับ 4 ของสหรัฐ

ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงเกือบ 400 จุดในช่วงแรก ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน รวมทั้งการปิดหน่วยงานรัฐบาล หรือชัตดาวน์ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐ

ดัชนี CBOE Volatility Index (VIX) ซึ่งเป็นมาตรวัดความวิตกของนักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐ พุ่งขึ้นกว่า 20% ในวันนี้ สู่ระดับ 22.94 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือน

ดัชนี VIX ทะลุระดับ 20 ซึ่งบ่งชี้ถึงความวิตกของนักลงทุน และความผันผวนในตลาด

จีนได้ประกาศคว่ำบาตรบริษัทในสหรัฐ 5 แห่งที่เป็นบริษัทในเครือของ Hanwha Ocean จากเกาหลีใต้ ซึ่งมาตรการนี้จะส่งผลให้องค์กรและบุคลากรในจีนห้ามทำธุรกิจกับบริษัทดังกล่าว โดยรัฐบาลจีนระบุว่า การดำเนินการในครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างความมั่นคงต่อจีน

ทั้งนี้ ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐได้เริ่มทวีความรุนแรงตั้งแต่ปลายสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขู่เก็บภาษีเพิ่มขึ้นอีก 100% ต่อสินค้านำเข้าจากจีน เพื่อตอบโต้ต่อการที่จีนออกมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายาก

นายแอนดรูว์ ฮอลเลนฮอร์สต์ นักเศรษฐศาสตร์ของซิตี้ กรุ๊ป ระบุในรายงานถึงลูกค้าว่า มีความเป็นไปได้ที่การปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐ หรือชัตดาวน์ อาจลากยาวถึงเดือนพ.ย. เนื่องจากรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และสภาคองเกรสไม่ถูกกดดันจากการหางบประมาณมาจ่ายสำหรับเงินเดือนของกองทัพในวันที่ 15 ต.ค. ขณะที่มีการคาดว่าโครงการช่วยเหลือทางด้านสาธารณะที่สำคัญจะยังคงดำเนินต่อไปได้ ทำให้พรรคเดโมแครตและรีพับลิกันแทบไม่มีแรงจูงใจที่จะยุติการชัตดาวน์ในเร็ว ๆ นี้

'การที่ฝ่ายการเมืองสามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบเหล่านี้ และการขาดเจตนารมณ์ทางการเมือง หมายความว่าภาวะชัตดาวน์อาจดำเนินต่อไป และอาจยืดเยื้อจนถึงเดือนพฤศจิกายน' รายงานระบุ

นอกจากนี้ ซิตี้ กรุ๊ประบุว่า การที่พนักงานของรัฐจำนวน 750,000 คนถูกพักงานชั่วคราว ไม่ได้เป็นปัจจัยเพียงพอที่จะทำให้พรรคเดโมแครตและรีพับลิกันยอมประนีประนอมกันได้ และคาดว่าการชัตดาวน์จะส่งผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของสหรัฐราว 0.8%

ทั้งนี้ การชัตดาวน์ได้ย่างเข้าสู่วันที่ 14 ท่ามกลางความหวังริบหรี่ที่จะเห็นวุฒิสภาสหรัฐอนุมัติร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราว เนื่องจากยังไม่มีความคืบหน้าในการเจรจาระหว่างพรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน

วุฒิสภาสหรัฐประสบความล้มเหลวต่อการผ่านร่างกฎหมายในการจัดสรรงบประมาณชั่วคราวเพื่อให้รัฐบาลสามารถเปิดทำการจนถึงวันที่ 21 พ.ย. เนื่องจากร่างกฎหมายดังกล่าวไม่สามารถผ่านเกณฑ์ 60 เสียงที่จำเป็นสำหรับการผ่านร่างกฎหมายในวุฒิสภา

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพิ่มแรงกดดันต่อสภาคองเกรสให้เร่งพิจารณาอนุมัติงบประมาณชั่วคราว โดยเตือนว่าเขาจะตัดงบประมาณโครงการของพรรคเดโมแครต รวมทั้งจะขัดขวางไม่ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ถูกพักงานได้รับค่าจ้างย้อนหลังเมื่อการชัตดาวน์สิ้นสุดลง

สหรัฐเข้าสู่ภาวะชัตดาวน์อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 ต.ค. ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 7 ปี และครั้งที่ 3 ภายใต้การบริหารของปธน.ทรัมป์

เหตุการณ์ชัตดาวน์ในครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 15 นับตั้งแต่ปี 2524 และถือเป็นการปิดหน่วยงานรัฐบาลที่ยาวนานเป็นอันดับ 4 ในประวัติศาสตร์สหรัฐ โดยมีระยะเวลามากกว่าการชัตดาวน์ 6 วันที่เกิดขึ้นในปี 2538 ส่วนการชัตดาวน์ที่ยาวนานที่สุดกินเวลาถึง 35 วัน โดยเกิดขึ้นในวันที่ 22 ธ.ค.2561-25 ม.ค.2562 ขณะที่ปธน.ทรัมป์ดำรงตำแหน่งสมัยแรก

ก่อนหน้านี้ ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันจะเผชิญแรงกดดันให้หาทางยุติภาวะชัตดาวน์ภายในสัปดาห์นี้ เพื่อหลีกเลี่ยงการที่ทหารประจำการกว่า 1.3 ล้านนาย รวมทั้งสมาชิกกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิหลายแสนนาย และเจ้าหน้าที่พลเรือนจำนวนมากของกระทรวงกลาโหม จะไม่ได้รับเงินเดือนตามกำหนดในวันที่ 15 ต.ค. หากการชัตดาวน์ยังคงยืดเยื้อต่อไป

อย่างไรก็ดี ทำเนียบขาวเปิดเผยว่า รัฐบาลสามารถหาช่องทางในการจัดสรรงบประมาณสำหรับทางกองทัพในสัปดาห์นี้

ทั้งนี้ พรรครีพับลิกัน ซึ่งครองทำเนียบขาวและมีเสียงข้างมากเพียงเล็กน้อยทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ต้องการผลักดันร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวเพื่อคงการจัดสรรงบประมาณในระดับปัจจุบันไปจนถึงวันที่ 21 พ.ย. โดยพวกเขาจำเป็นต้องได้เสียงสนับสนุนจากพรรคเดโมแครตอย่างน้อย 7 เสียงในวุฒิสภาเพื่อผ่านร่างกฎหมายดังกล่าว

พรรคเดโมแครตยื่นข้อเรียกร้องหลายประการ รวมถึงการให้ร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวต้องมีการขยายสิทธิประโยชน์ด้านภาษี Obamacare ที่เพิ่มขึ้น ก่อนที่จะหมดอายุในช่วงสิ้นปีนี้ โดยสิทธิประโยชน์ดังกล่าวจะช่วยลดค่าเบี้ยประกันสุขภาพสำหรับผู้เอาประกันจำนวนมากที่ลงทะเบียนในโครงการประกันสุขภาพตามกฎหมาย Affordable Care Act แต่พรรครีพับลิกันปฏิเสธ โดยกล่าวหาว่าเดโมแครตกำลัง "จับรัฐบาลเป็นตัวประกัน" เนื่องจากไม่ยอมให้มีการผ่านงบประมาณ เว้นแต่จะได้ตามข้อเรียกร้องด้านสิทธิประโยชน์ดังกล่าว

แกนนำรีพับลิกันยืนยันว่า การผ่านร่างกฎหมายต่ออายุการจัดสรรงบประมาณแบบ "สะอาด" ของพวกเขา โดยไม่มีการพ่วงสิทธิประโยชน์ที่กำลังเป็นที่ถกเถียงกัน ไม่ใช่เกมการเมือง และการเจรจาแก้ไขความขัดแย้งสามารถดำเนินต่อไปได้โดยไม่ต้องปิดหน่วยงานรัฐบาล


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ