ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์พุ่งขึ้นเกือบ 200 จุด ขานรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งของภาคธนาคาร ซึ่งช่วยบดบังความกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
ณ เวลา 20.14 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์บวก 195 จุด หรือ 0.42% สู่ระดับ 46,695 จุด
หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ และแบงก์ ออฟ อเมริกา พุ่งขึ้นก่อนเปิดตลาด หลังเปิดเผยกำไรและรายได้สูงกว่าคาดในไตรมาส 3/2568
นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มอาหารและเกษตรดีดตัวขึ้น หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขู่ระงับการนำเข้าน้ำมันพืชจากจีน เพื่อตอบโต้ต่อการที่จีนหยุดซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐ
นายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ กล่าวว่า สหรัฐจะไม่เปลี่ยนแปลงจุดยืนในการเจรจาการค้ากับจีนเพียงเพราะเกิดความผันผวนในตลาดหุ้น
'ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ชอบตลาดหุ้นที่พุ่งสูง แต่ท่านก็เชื่อว่าตลาดหุ้นที่พุ่งสูงเกิดจากนโยบายที่ดี'
'เราจะไม่เจรจาเพียงเพราะตลาดหุ้นกำลังตก หรือหลีกเลี่ยงการใช้มาตรการเด็ดขาดต่อจีนเพียงเพราะเหตุผลดังกล่าว แต่เราจะเจรจาเพราะเรากำลังทำในสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเศรษฐกิจสหรัฐ' นายเบสเซนต์กล่าวต่อสำนักข่าว CNBC
นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณการยุติการใช้นโยบายคุมเข้มทางการเงิน หลังกล่าววานนี้ว่า เฟดอาจใกล้ถึงจุดที่จะยุติการลดขนาดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ
ทั้งนี้ ในการกล่าวสุนทรพจน์ต่อที่ประชุมของสมาคมเศรษฐศาสตร์ธุรกิจแห่งชาติสหรัฐ (NABE) ที่เมืองฟิลาเดลเฟีย นายพาวเวลกล่าวถึงท่าทีล่าสุดของเฟดเกี่ยวกับการใช้นโยบาย "คุมเข้มเชิงปริมาณ" (quantitative tightening) หรือ QT ซึ่งเป็นกระบวนการลดการถือครองสินทรัพย์ในงบดุลของเฟดที่มีมูลค่ามากกว่า 6 ล้านล้านดอลลาร์
'แผนของเราที่ประกาศไว้นานแล้วคือการยุติการลดขนาดงบดุล เมื่อปริมาณทุนสำรองอยู่เหนือระดับที่เรามองว่าเพียงพอต่อสภาพคล่องในระบบ โดยเราอาจเข้าใกล้จุดนั้นภายในไม่กี่เดือนข้างหน้า และเรากำลังติดตามตัวชี้วัดมากมายเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจ' นายพาวเวลกล่าว
แม้ประเด็นเรื่องงบดุลถือเป็นรายละเอียดเชิงเทคนิคในนโยบายการเงิน แต่ก็มีความสำคัญต่อตลาดการเงิน เพราะเมื่อสภาพคล่องในตลาดตึงตัว เฟดจะมุ่งให้เกิดภาวะ "ทุนสำรองในระดับสูง" เพื่อให้ภาคธนาคารมีสภาพคล่องเพียงพอในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป เฟดก็จะปรับลดสู่ภาวะ "ทุนสำรองเพียงพอ" เพื่อป้องกันไม่ให้มีเงินทุนล้นระบบเกินไป
ในช่วงการระบาดของโควิด-19 เฟดได้เข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันการจำนอง (MBS) เป็นจำนวนมาก ส่งผลให้งบดุลของเฟดพุ่งขึ้นเกือบ 9 ล้านล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ดี นับตั้งแต่กลางปี 2565 เฟดได้ทยอยปล่อยให้ตราสารหนี้เหล่านั้นหมดอายุโดยไม่ซื้อคืน ซึ่งถือเป็นมาตรการหนึ่งในการคุมเข้มนโยบายการเงิน
นอกจากนี้ นายพาวเวลยังกล่าวว่า เริ่มมีสัญญาณบางอย่างบ่งชี้ว่าสภาพคล่องในระบบกำลังตึงตัวขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณว่าการลดทุนสำรองต่อไปจะขัดขวางการเติบโตทางเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม นายพาวเวลย้ำว่า เฟดไม่มีแผนที่จะลดขนาดงบดุลกลับไปสู่ระดับก่อนเกิดโควิด-19 ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 4 ล้านล้านดอลลาร์