ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดดิ่งลงกว่า 200 จุด หลังการเปิดเผยภาคการผลิตของสหรัฐที่ซบเซา
ณ เวลา 22.48 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ลบ 285.10 จุด หรือ 0.60% สู่ระดับ 47,277.77 จุด ขณะที่ดัชนี Nasdaq บวก 0.37%
ตลาดหุ้นวอลล์สตรีททำการปรับเวลาซื้อขายหุ้นในตลาด เริ่มต้นจากวันนี้ โดยปรับเวลาช้าลง 1 ชั่วโมง หลังจากสิ้นสุดช่วง Daylight Saving Time
ทั้งนี้ ตลาดจะเปลี่ยนแปลงเวลาซื้อขาย จากเดิม 20.30-03.00 น.ตามเวลาไทย เป็น 21.30-04.00 น.ตามเวลาไทย
การปรับเวลาซื้อขายหุ้นดังกล่าวนี้จะมีผลตั้งแต่วันที่ 3 พฤศจิกายน 2568-8 มีนาคม 2569
ดัชนี Nasdaq ดีดตัวขึ้น ขานรับการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี
ราคาหุ้น Amazon ทะยานขึ้นมากกว่า 5%, หุ้น Micron Technology พุ่งขึ้น 5% ขณะที่ Nvidia และ AMD ดีดตัว 3% และ 1% ตามลำดับ ส่วน Meta Platforms บวก 1.2%
สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของสหรัฐปรับตัวลงสู่ระดับ 48.7 ในเดือนต.ค. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 49.4 จากระดับ 49.1 ในเดือนก.ย.
ดัชนียังคงปรับตัวต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ภาวะหดตัวของภาคการผลิตสหรัฐ โดยเป็นการหดตัวเป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกัน แม้คำสั่งซื้อใหม่และการจ้างงานดีดตัวขึ้นในเดือนต.ค.
การปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐ หรือชัตดาวน์ ได้ย่างเข้าสู่วันที่ 34 ในวันนี้ ท่ามกลางความหวังริบหรี่ที่จะเห็นวุฒิสภาสหรัฐอนุมัติร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราว เนื่องจากยังไม่มีความคืบหน้าในการเจรจาระหว่างพรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน
ขณะนี้ สหรัฐกำลังเผชิญภาวะชัตดาวน์ที่ยาวนานเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์ หลังจากที่เคยทำสถิติยาวนานที่สุดซึ่งกินเวลาถึง 35 วันในวันที่ 22 ธ.ค.2561-25 ม.ค.2562 ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ดำรงตำแหน่งสมัยแรก
ภาวะชัตดาวน์ดังกล่าวกำลังส่งผลกระทบอย่างหนักต่อเศรษฐกิจ การบริการภาคสาธารณะ และความเชื่อมั่นของชาวอเมริกัน
อย่างไรก็ดี สถิติในอดีตบ่งชี้ว่า ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทมักปรับตัวขึ้นในเดือนพ.ย.
ทั้งนี้ ข้อมูลจาก Stock Trader's Almanac ระบุว่า ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 1.8% ในเดือนพ.ย. ส่งผลให้เดือนดังกล่าวเป็นเดือนที่ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นมากที่สุดของปี
ข้อมูลจาก Almanac ยังระบุว่า เดือนพ.ย.ถือเป็นจุดเริ่มต้นของ "Best Six Months" หรือช่วง 6 เดือนที่ตลาดหุ้นปรับตัวดีที่สุด คือระหว่างเดือนพ.ย.-เม.ย.
ส่วนบทวิเคราะห์แบงก์ ออฟ อเมริกา รายงานว่า นับตั้งแต่ปี 2470 ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้นราว 59% ในเดือนพ.ย.ของช่วงเวลาดังกล่าว โดยมีผลตอบแทนเฉลี่ยราว 1% ในเดือนพ.ย.
นอกจากนี้ MarketWatch ระบุว่า หาก S&P 500 ปรับตัวขึ้นในเดือนต.ค. และช่วง "six-month weak period" หรือช่วง 6 เดือนที่ตลาดหุ้นปรับตัวย่ำแย่ คือระหว่างเดือนพ.ค.-ต.ค. ทำผลตอบแทนได้ดีแล้ว โอกาสที่ตลาดจะมีแนวโน้มปรับตัวแข็งแกร่งต่อเนื่องในช่วงพ.ย.-เม.ย. ก็จะสูงขึ้น
ขณะเดียวกัน เหตุผลที่ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทมักให้ผลตอบแทนสูงในเดือนพ.ย.ยังได้แก่:-
🔴-การสิ้นสุดช่วงครึ่งปีที่อ่อนแอ (พ.ค.-ต.ค.) และเริ่มช่วงครึ่งปีที่มีแนวโน้มสดใส (พ.ย.-เม.ย.)
🔴-การปรับพอร์ตและเงินลงทุนจากนักลงทุนสถาบันที่เพิ่มขึ้นในช่วงปลายปี ก่อนเกิดปรากฏการณ์ "ซานต้า แรลลี่" ในเดือนธ.ค.
🔴-ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ดีขึ้นเมื่อเข้าสู่ช่วงสิ้นปี ขณะที่เทศกาลต่าง ๆ สามารถกระตุ้นกิจกรรมของผู้บริโภคและภาคธุรกิจ