ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกทำสถิติสูงสุดติดต่อกันเป็นวันที่สามในวันพุธ (12 พ.ย.) โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคและเหมืองแร่ ขณะที่นักลงทุนตอบรับสัญญาณเชิงบวกเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการยุติภาวะปิดหน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ที่ยืดเยื้อมานาน
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดตลาดที่ระดับ 9,911.42 จุด เพิ่มขึ้น 11.82 จุด หรือ +0.12%
ดัชนี FTSE 100 ปิดปรับตัวขึ้นใกล้แตะระดับสำคัญที่ 10,000 จุด โดยหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคหนุนตลาด โดยพุ่งขึ้น 4% ขณะที่หุ้น SSE พุ่งขึ้น 16.8% ทำนิวไฮ หลังเปิดเผยแผนลงทุน 5 ปี มูลค่า 3.3 หมื่นล้านปอนด์ (4.429 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสหราชอาณาจักร และขยายธุรกิจพลังงานหมุนเวียน
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่เพิ่มขึ้น 1.3% ตามราคาทองแดงในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์โลกที่ปรับตัวขึ้น
บรรยากาศการลงทุนที่ดีขึ้นเป็นผลจากความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นว่าสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ อาจลงมติยุติการปิดหน่วยงานรัฐบาลกลางในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งได้สร้างความไม่แน่นอนด้านข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ และหากสถานการณ์ดังกล่าวได้รับการแก้ไข จะช่วยให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีความชัดเจนมากขึ้นในการตัดสินใจปรับอัตราดอกเบี้ยในอนาคต
หุ้นกลุ่มวาณิชธนกิจลดลง 1.7% โดยหุ้น 3i Group ร่วง 3.3% ขณะที่หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมร่วงลง 2% หลังหุ้น Experian ผู้ให้บริการข้อมูลสินเชื่อ ร่วงลง 4.9% แม้บริษัทคาดว่ารายได้ทั้งปีจะเติบโต 11% ซึ่งอยู่ในระดับบนสุดของกรอบคาดการณ์
หุ้นกลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ร่วงลง 2.3% โดยหุ้น Taylor Wimpey ร่วงเกือบ 4% หลังรายงานยอดขายช่วงฤดูใบไม้ร่วงซบเซา เนื่องจากผู้ซื้อในอังกฤษชะลอการตัดสินใจก่อนการแถลงงบประมาณของรัฐบาล
หุ้นกลุ่มพลังงานลดลง 1% ตามราคาน้ำมันที่ปรับตัวลง โดยหุ้น BP ร่วง 1.7% และ Shell ลดลง 0.7%
นักลงทุนกำลังรอดูตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 3 ของสหราชอาณาจักร ซึ่งจะเปิดเผยในวันพฤหัสบดีนี้ เพื่อประเมินภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ ก่อนการแถลงงบประมาณในช่วงปลายเดือนนี้
ในบรรดาหุ้นรายตัวนั้น หุ้น Smithson Investment พุ่งขึ้น 7% หลังประกาศแผนปรับโครงสร้างสินทรัพย์เป็นกองทุนแบบเปิด ขณะที่หุ้น Avon Technologies พุ่งขึ้น 6.3% ทำนิวไฮในรอบ 5 ปี หลังคาดการณ์แนวโน้มผลประกอบการที่แข็งแกร่ง