ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเล็กน้อยในวันพุธ (3 ธ.ค.) โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ช่วยชดเชยการร่วงลงแรงของหุ้นกลุ่มการเงิน ขณะที่หุ้น Inditex พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบหนึ่งปี หลังรายงานยอดขายช่วงต้นฤดูหนาวที่แข็งแกร่ง
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 576.22 จุด เพิ่มขึ้น 0.57 จุด หรือ +0.10%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 8,087.42 จุด เพิ่มขึ้น 12.81 จุด หรือ +0.16%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 23,693.71 จุด ลดลง 17.15 จุด หรือ -0.07% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,692.07 จุด ลดลง 9.73 จุด หรือ -0.10%
หุ้น Inditex ของสเปนดีดตัวแรง 8.9% หลังบริษัทเจ้าของแบรนด์ Zara รายงานยอดขายที่ปรับตามอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้น 10.6% ในเดือนพ.ย. ซึ่งเป็นช่วงสำคัญที่รวมสุดสัปดาห์ Black Friday
หุ้น Inditex ช่วยผลักดันดัชนีกลุ่มค้าปลีกพุ่งขึ้น 3.5% โดยบริษัทซึ่งถูกมองว่าเป็นตัวชี้วัดของอุตสาหกรรม fast fashion ทั่วโลก ได้ให้สัญญาณบวกสำหรับผลประกอบการของผู้ค้าปลีกในช่วงฤดูกาลลดราคา และสะท้อนการเริ่มต้นไตรมาสที่ทำรายได้สูงสุดของบริษัทได้อย่างแข็งแกร่ง
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 โดยเพิ่มขึ้น 1.3% ขณะที่หุ้นกลุ่มป้องกันประเทศดีดตัว 2.3% หลังรัสเซียระบุว่าแผนสันติภาพยูเครนที่นำโดยสหรัฐฯ ยังไม่ตอบสนองต่อข้อกำหนดของตน
ยูลิอา ซวีรีเดนโก นายกรัฐมนตรีของยูเครนกล่าวชื่นชมข้อเสนอของคณะกรรมาธิการยุโรปสำหรับการสนับสนุนความต้องการทางการเงินของยูเครน โดยเรียกว่าเป็นก้าวสำคัญและรับผิดชอบ
หุ้นกลุ่มทรัพยากรพื้นฐาน เพิ่มขึ้น 2.6% และดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานเพิ่มขึ้น 0.6%
ในทางกลับกัน หุ้นกลุ่มประกันภัยและธนาคารถ่วงดัชนี STOXX 600 โดยลดลง 1.4% และ 0.9% ตามลำดับ หลังจากดีดตัวแรงในสัปดาห์ก่อนหน้า
สำหรับหุ้นรายตัวนั้น หุ้น Hugo Boss ของเยอรมนีร่วงลง 9.9% หลังเตือนว่ายอดขายจะลดลงในปีหน้า เนื่องจากบริษัทกำลังเริ่มกระบวนการปรับยุทธศาสตร์ใหม่
หุ้น Airbus ดีดตัวขึ้น 4% หลังจากร่วงลงสองวันก่อนหน้านี้ โดยแม้บริษัทจะปรับลดเป้าหมายการส่งมอบเครื่องบินลง 30 ลำ แต่ยังคงยืนยันแนวโน้มการเงินปี 2568
หุ้น Sainsbury's ของอังกฤษร่วงลง 4.1% หลังกองทุนความมั่งคั่งของกาตาร์ขายหุ้นออกเพิ่มเติม โดยยุติสถานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดในรอบเกือบ 20 ปี
กิจกรรมทางธุรกิจในยูโรโซนเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 2 ปีครึ่งในเดือนพ.ย. โดยภาคบริการที่แข็งแกร่งช่วยชดเชยความอ่อนแอของภาคการผลิต ส่งผลให้ดัชนี PMI รวมขยับขึ้นเป็น 52.8 จาก 52.5 ขณะที่ PMI ภาคบริการเพิ่มขึ้นเป็น 53.6 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2566
ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อ่อนแอบางส่วนและท่าทีผ่อนคลายจากเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ช่วยหนุนความคาดหวังว่าเฟดอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของการปรับตัวขึ้นของตลาดในเดือนที่ผ่านมา