ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดลบ 2.70 จุด จากแรงขายทำกำไร

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday November 13, 2014 06:31 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดขยับลงเมื่อคืนนี้ (12 พ.ย.) ขณะที่ภาวะการซื้อขายเป็นไปอย่างผันผวน เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากดัชนีดาวโจนส์พุ่งทำนิวไฮติดต่อกันหลายวันทำการก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มธนาคาร หลังจากมีรายงานว่าธนาคารรายใหญ่หลายแห่งได้ถูกสั่งปรับเพื่อยุติข้อหาเกี่ยวกับการปั่นค่าเงินในตลาดปริวรรตเงินตรา

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 17,612.20 จุด ลดลง 2.70 จุด หรือ -0.02% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,675.13 จุด เพิ่มขึ้น 14.57 จุด หรือ +0.31% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,038.25 จุด ลดลง 1.43 จุด หรือ -0.07%

ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างผันผวนเนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไร หลังจากดัชนีดาวโจนส์ และ S&P 500 ทะยานขึ้นปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ติดต่อกันหลายวันทำการก่อนหน้านี้ อันเนื่องมาจากการที่นักลงทุนมีมุมมองที่เป็นบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและผลประกอบการของภาคเอกชนสหรัฐ

ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดที่มีการเปิดเผยเมื่อช่วงค่ำวานนี้ตามเวลาไทย กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า สต็อกสินค้าภาคค้าส่งของสหรัฐปรับเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนก.ย. หลังจากที่ขยายตัว 0.6% ในเดือนส.ค. นอกจากนี้ รายงานยังระบุว่า สต็อกสินค้าคงทนเพิ่มขึ้น 0.8% ขณะที่สต็อกสินค้าไม่คงทนหดตัวลง 0.6% ในเดือนดังกล่าว

หุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลงหลังจากมีรายงานว่า หน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐ อังกฤษและสวิตเซอร์แลนด์ มีคำสั่งให้ธนาคารพาณิชย์ 5 แห่งจ่ายเงินเพื่อยุติข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการปั่นค่าเงินในตลาดปริวรรตเงินตรา โดยธนาคารดังกล่าวได้แก่ซิตี้กรุ๊ป, เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค, เอชเอสบีซี โฮลดิงส์, รอยัล แบงก์ ออฟ สกอตแลนด์ และยูบีเอส ส่วนจำนวนเงินที่ต้องจ่ายเพื่อยุติข้อกล่าวหาในครั้งนี้ มีมูลค่ารวม 3.3 พันล้านดอลลาร์

หุ้นซิตี้กรุ๊ปปรับตัวลง 0.7% ขณะที่หุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอน์ โค ร่วงลง 1.3% และหุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ปรับลง 0.2%

นักลงทุนจับตาดูผลประกอบการของบริษัทค้าปลีกรายใหญ่ รวมถึงวอล-มาร์ท ซึ่งจะเปิดเผยในวันพฤหัสบดีนี้ เนื่องจากใกล้จะถึงเทศกาลจับจ่ายใช้สอยในวันหยุดของสหรัฐ นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาดูรายงานยอดค้าปลีกประจำเดือนต.ค.ของสหรัฐในวันศุกร์นี้ โดยตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 70% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐ

ส่วนบริษัทค้าปลีกที่ได้เปิดเผยผลประกอบการเมื่อวานนั้น บริษัทเมซี อิงค์ ระบุว่า กำไรต่อหุ้นในไตรมาส 3 เพิ่มขึ้น 30% เทียบรายปี สู่ระดับ 61 เซนต์ ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับลดคาดกาณ์ยอดขายในเทศกาลวันหยุดปลายปีนี้ด้วย โดยข่าวดังกล่าวช่วยหนุนหุ้นเมซี พุ่งขึ้น 5.09%

ขณะที่บริษัทเจซี เพนนี ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกรายใหญ่อีกแห่งหนึ่งนั้น รายงานว่าบริษัทมีผลประกอบการ 2.76 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 3 ซึ่งตัวเลขดังกล่าวน้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ