ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดลบ 32.67 จุด วิตกข่าว "ทรัมป์" ปลดผอ.FBI

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday May 11, 2017 06:38 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (10 พ.ค.) หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐ ได้ประกาศปลดนายเจมส์ โคมีย์ พ้นจากตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐ (FBI) โดยข่าวดังกล่าวส่งผลให้ตลาดวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนทางการเมืองในสหรัฐ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันหลังจากนายเอริค โรเซนเกรน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาบอสตัน ได้ออกมาสนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 3 ครั้งในปีนี้ อย่างไรก็ตาม ดัชนี Nasdaq ทำสถิติปิดที่ระดับสูงสุดติดต่อกันเป็นวันที่ 4 หลังจากบริษัทจดทะเบียนบางแห่งเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่ง

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 20,943.11 จุด ลดลง 32.67 จุด หรือ -0.16% ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,399.63 จุด เพิ่มขึ้น 2.71 จุด หรือ +0.11% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,129.14 จุด เพิ่มขึ้น 8.56 จุด หรือ +0.14%

ดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดอ่อนแรงลง หลังจากปธน.ทรัมป์ได้ประกาศปลดนายเจมส์ โคมีย์ ผู้อำนวยการ FBI พ้นจากตำแหน่ง โดยนายโคมีย์เป็นผู้รื้อคดีอีเมลฉาวของนางฮิลลารี คลินตัน ผู้สมัครชิงจากพรรคเดโมแครต โดยได้ดำเนินการตรวจสอบอีเมล์ส่วนตัวที่นางฮิลลารีรับและส่งข้อความในช่วงที่ดำรงตำแหน่งรมว.ต่างประเทศสหรัฐ แต่นายท้ายที่สุด นายโคมีย์สรุปว่า นางฮิลลารีไม่มีความผิดทางคดีอาญา

นอกจากนี้ เมื่อเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา นายเจมส์ โคมีย์ กล่าวว่า FBI ไม่พบหลักฐานใดๆที่บ่งชี้ว่า อดีตปธน.บารัค โอบามา เป็นผู้ออกคำสั่งให้มีการดักฟังโทรศัพท์ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ภายในอาคารทรัมป์ ทาวเวอร์ ที่นครนิวยอร์ก ในช่วงการหาเสียงเมื่อปี 2559 แม้ปธน.ทรัมป์ได้ยืนยันว่า โอบามาได้สั่งการให้ทำการดักฟังโทรศัพท์เพื่อสอดแนมข้อมูลของเขา

นักลงทุนกังวลว่า การตัดสินใจของทรัมป์ในครั้งนี้อาจจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และอาจทำให้สถานการณ์ทางการเมืองในสหรัฐตกอยู่ในความไม่แน่นอน ขณะที่มีผู้ตั้งข้อสังเกตุว่า การปลดนายโคมีย์อาจมีเป้าหมายที่จะปกปิดประเด็นรัสเซีย เนื่องจากนายโคมีย์ผลักดันให้ FBI สอบสวนกรณีที่รัฐบาลรัสเซียอาจพยายามเข้าแทรกแซงการเลือกตั้งปธน.สหรัฐในปีที่แล้ว รวมถึงกรณีที่ว่า รัสเซียได้ให้การช่วยเหลือการหาเสียงเลือกตั้งของนายโดนัลด์ ทรัมป์หรือไม่

นอกจากนี้ ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับแรงกดดันหลังจากนายเอริค โรเซนเกรน ประธานเฟดสาขาบอสตันได้ออกมาสนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 3 ครั้งในปีนี้ และเรียกร้องให้เฟดเริ่มพิจารณาการปรับลดงบดุลบัญชีของเฟดหลังจากที่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในครั้งหน้า เพื่อป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจตกอยู่ในภาวะที่ร้อนแรงเกินไป

ทางด้าน CME Group ระบุว่า จากการใช้เครื่องมือ FedWatch วิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ พบว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาสสูงถึง 83.1% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนหน้า

อย่างไรก็ตาม ดัชนี Nasdaq ปิดที่ระดับสูงสุดติดต่อกันเป็นวันที่ 4 เมื่อคืนนี้ ขานรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน รวมถึงนิวส์ คอร์ป และไมแลนด์ เอ็นวี

หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมัน โดยหุ้นเชฟรอน คอร์ป ปรับตัวขึ้น 1.4%

หุ้นอเบอร์ครอมบี แอนด์ ฟิทช์ บริษัทค้าปลีกรายใหญ่ ทะยานขึ้น 12% ขณะที่หุ้นไมแลนด์ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตยา ปรับตัวขึ้น 0.8% หุ้น Nvidia พุ่งขึ้น 18% หลังจากบริษัทเหล่านี้เปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาด

อย่างไรก็ตาม หุ้นวอลท์ดีสนีย์ ร่วงลง 2.2% หลังจากบริษัทเปิดกำไรที่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ แต่รายได้โดยรวมของบริษัทออกมาน้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้

นักลงทุนยังคงจับตาการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน โดยในขณะนี้ บริษัท 75% ในดัชนี S&P 500 รายงานกำไรที่ดีกว่าคาด ขณะที่ 66% มียอดขายที่สูงกว่าคาด

นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนเม.ย., ยอดค้าปลีกเดือนเม.ย., สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนมี.ค. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นเดือนพ.ค.โดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ