ตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ (13 มิ.ย.) หลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 4 ปี ซึ่งส่งผลให้เงินปอนด์ทะยานขึ้น โดยการแข็งค่าของเงินปอนด์ส่งผลให้ตลาดวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกำไรของบริษัทอังกฤษที่เข้าไปดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ
ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 7,500.44 จุด ลดลง 11.43 จุด หรือ -0.15%
ตลาดหุ้นลอนดอนได้รับปัจจัยกดดันจากการแข็งค่าของเงินปอนด์ หลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษ (ONS) เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อ พุ่งขึ้น 2.9% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 4 ปี จากระดับ 2.7% ในเดือนเม.ย.
ตัวเลขเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นนั้น ส่งผลให้เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นอย่างมาก ซึ่งทำให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกำไรของบริษัทอังกฤษในต่างประเทศ
หุ้นบริติช อเมริกัน โทแบคโค ปรับตัวลง 0.9% หุ้นอิมพีเรียล แบรนด์ส ลดลง 0.8% หุ้นยูนิลีเวอร์ ร่วงลง 1%
หุ้นเมอร์ลิน เอนเตอร์เทนเมนท์ ซึ่งเป็นผู้บริหารรีสอร์ทและสวนสนุกของอังกฤษ ร่วงลง 2.9% หลังจากบริษัทเปิดเผยว่า เหตุก่อการร้ายที่เกิดขึ้นในอังกฤษได้ส่งผลกระทบต่อรายได้ของบริษัท
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการเมืองอังกฤษ หลังจากที่พรรคอนุรักษ์นิยมของนางเทเรซา เมย์ ไม่สามารถครองเสียงข้างมากในรัฐสภาอังกฤษ ขณะที่รายงานล่าสุดระบุว่า นางเทเรซา เมย์ เตรียมเจรจาข้อตกลงจัดตั้งรัฐบาลผสมร่วมกับพรรคสหภาพประชาธิปไตยแห่งไอร์แลนด์เหนือ (DUP) ของนางอาร์ลีน ฟอสเตอร์
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มค้าปลีกปรับตัวขึ้น โดยหุ้นมาร์ค แอนด์ สเปนเซอร์ พุ่งขึ้น 1.3% และหุ้นเจ เซนส์เบอร์รี เพิ่มขึ้น 1.4%