ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดลบ 53.50 จุด จากแรงขายหุ้นเทคโนฯ,วิตกสถานการณ์เกาหลีเหนือ

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday September 26, 2017 06:47 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (25 ก.ย.) จากแรงขายที่ส่งเข้าฉุดหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างเกาหลีเหนือและสหรัฐ หลังจากเกาหลีเหนือออกมาระบุว่า คำกล่าวของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในช่วงที่ผ่านมาเกี่ยวกับเกาหลีเหนือนั้น ถือเป็นการประกาศสงครามกับเกาหลีเหนืออย่างชัดเจน และเกาหลีเหนือมีสิทธิที่จะตอบโต้

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 22,296.09 จุด ลดลง 53.50 จุด หรือ -0.24% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,370.59 จุด ลดลง 56.33 จุด หรือ -0.88% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,496.66 จุด ลดลง 5.56 จุด หรือ -0.22%

บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างเกาหลีเหนือและสหรัฐ หลังจากที่นายรี ยอง โฮ รมว.ต่างประเทศเกาหลีเหนือระบุว่า "นับตั้งแต่ที่สหรัฐประกาศสงครามต่อประเทศของเรา เราจึงมีสิทธิทุกประการที่จะใช้มาตรการตอบโต้ ซึ่งรวมถึงการยิงเครื่องบินทิ้งระเบิดของสหรัฐ ถึงแม้ว่าเครื่องบินเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในน่านฟ้าของเกาหลีเหนือ"

"หลังจากที่ทรัมป์ได้ประกาศสงคราม ทางเลือกทั้งหมดก็ได้ถูกวางไว้บนโต๊ะของท่านผู้นำแล้ว" นายรีกล่าว ซึ่งการประกาศกร้าวของรัฐมนตรีต่างประเทศเกาหลีเหนือในครั้งนี้ส่งผลให้ตลาดกังวลว่า สถานการณ์ตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลีอาจกลับมาปะทุขึ้นอีกครั้ง

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง และเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ฉุดตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดในแดนลบเมื่อคืนนี้ โดยหุ้นเฟซบุ๊ก ร่วงลง 4.5% หุ้นไมโครซอฟท์ ดิ่งลง 1.55% หุ้นแอปเปิล ปรับตัวลง 0.88% ขณะที่ดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ร่วงลง 1.42% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงหนักสุดในรอบ 5 สัปดาห์

นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยกดดันจากการที่เจ้าหน้าที่ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ออกมาสนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยนายวิลเลียม ดัดลีย์ ประธานเฟดสาขานิวยอร์ก กล่าวว่า "จากแนวโน้มราคานำเข้าที่เพิ่มขึ้น และผลกระทบที่เบาบางลงของปัจจัยพิเศษชั่วคราว ผมจึงคาดว่าเงินเฟ้อจะปรับตัวขึ้น และมีเสถียรภาพที่ราวระดับเป้าหมายของเฟดที่ 2% ในระยะกลาง ซึ่งจะทำให้เฟดยังคงถอนมาตรการผ่อนคลายทางการเงินอย่างค่อยเป็นค่อยไป"

ทั้งนี้ คำกล่าวของนายดัดลีย์ถือเป็นการเน้นย้ำการคาดการณ์ที่ว่า เฟดมีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 3 ในปีนี้ในเดือนธ.ค. หลังปรับขึ้นในเดือนมี.ค. และมิ.ย.

ขณะที่นายชาร์ลส์ อีแวนส์ ประธานเฟดสาขาชิคาโกกล่าวว่า เขาเห็นด้วยกับเจ้าหน้าที่เฟดคนอื่นๆที่เชื่อว่า เฟดควรจะค่อยๆปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นไปจนถึงระดับ 2.7% ในช่วง 2 ปีข้างหน้า จากระดับปัจจุบันที่ 1.00-1.25%

นักลงทุนจับตานางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟดซึ่งมีกำหนดกล่าวสุนทรพจน์ในวันนี้ ที่รัฐโอไฮโอ และนางลาเอล เบรนาร์ด หนึ่งในคณะผู้ว่าการเฟด ซึ่งมีกำหนดจะกล่าวสุนทรพจน์ในวันนี้เช่นกัน

นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ ดัชนีราคาบ้านเดือนก.ค.โดย S&P/Case-Shiller, ยอดขายบ้านใหม่เดือนส.ค., ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ย.จากคอนเฟอเรนซ์ บอร์ด, ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนส.ค., ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนส.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 2/2560, สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนส.ค. และดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนส.ค.


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ