ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดบวก 98.67 จุด รับรายงานประชุมเฟด,ข้อมูลศก.สหรัฐสดใส

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday January 4, 2018 06:49 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (3 ม.ค.) โดยดัชนีหลักทั้ง 3 ดัชนีปิดทำนิวไฮติดต่อกันเป็นวันที่ 2 หลังจากรายงานการประชุมประจำเดือนธ.ค.ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ระบุว่า กรรมการเฟดส่วนใหญ่ยังคงสนับสนุนให้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ ซึ่งรวมถึงการใช้จ่ายภาคการก่อสร้างที่พุ่งเกินคาดในเดือนพ.ย.

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,922.68 จุด เพิ่มขึ้น 98.67 จุด หรือ +0.40% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,713.06 จุด เพิ่มขึ้น 17.25 จุด หรือ +0.64% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,065.53 จุด เพิ่มขึ้น 58.63 จุด หรือ +0.84%

ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดทำนิวไฮติดต่อกันเป็นวันที่ 2 หลังจากรายงานการประชุมเฟดประจำวันที่ 12-13 ธ.ค. 2560 ระบุว่า กรรมการเฟดส่วนใหญ่ยังคงสนับสนุนให้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป นอกจากนี้ กรรมการเฟดยังมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับจังหวะเวลาในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2561

"กรรมการเฟดส่วนใหญ่ยังเน้นย้ำถึงการสนับสนุนให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟด (FOMC) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อรับมือกับความเสี่ยงที่อาจจะส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ" รายงานการประชุมระบุ

รายงานการประชุมยังระบุด้วยว่า กรรมการเฟดกลุ่มหนึ่งได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับการส่งสัญญาณดังกล่าว โดยระบุว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้อาจเป็นการดำเนินการที่แข็งกร้าวเกินไป และอาจขัดขวางเป้าหมายการผลักดันเงินเฟ้อให้กลับสู่ระดับ 2% ของเฟด ขณะที่กรรมการเฟดอีกกลุ่มหนึ่งมองว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ ถือเป็นการดำเนินการที่เชื่องช้าเกินไป

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับปัจจัยหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า การใช้จ่ายภาคการก่อสร้างของสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.8% ในเดือนพ.ย. สู่ระดับ 1.257 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 0.5% ในเดือนพ.ย.

ขณะที่สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยผลสำรวจซึ่งระบุว่า ดัชนีภาคการผลิตของ ISM ดีดตัวสู่ระดับ 59.7 ในเดือนธ.ค. จากระดับ 58.2 ในเดือนพ.ย. โดยก่อนหน้านี้นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ดัชนีภาคการผลิตเดือนธ.ค.จะทรงตัวที่ระดับ 58.2

ดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้น 1.1% และเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ช่วยหนุนตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดตลาดในแดนบวก โดยหุ้นอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล พุ่งขึ้น 1.7% หุ้นเฟซบุ๊ก พุ่งขึ้น 1.8% หุ้นไมโครซอฟท์ ขยับขึ้น 0.47% ส่วนหุ้นไอบีเอ็ม ทะยานขึ้น 2.7% หลังจากบริษัทอาร์บีซีปรับเพิ่มอันดับความน่าลงทุนของบริษัท สู่ระดับ "outperform"

หุ้นออราเคิล พุ่งขึ้น 2.3% หลังจากมอร์แกน สแตนลีย์ปรับเพิ่มอันดับความน่าลงทุนของบริษัท สู่ "overweight" โดยระบุว่า ราคาหุ้นออราเคิลที่อยู่ในระดับต่ำในขณะนี้ ช่วยสร้างโอกาสที่ราคาจะดีดตัวขึ้นจากแรงหนุนของผลประกอบการ

หุ้นฟอร์ด มอเตอร์ ปรับตัวขึ้น 0.8% และหุ้นเจเนอรัล มอเตอร์ พุ่งขึ้น 2.4% หลังจากทั้งสองบริษัทเปิดเผยยอดขายประจำเดือนธ.ค.

หุ้นมันนี่แกรม อินเตอร์เนชั่นแนล อิงค์ บริษัทผู้ให้บริการด้านการโอนเงินของสหรัฐ ร่วงลง 9% หลังจากคณะกรรมาธิการตรวจสอบการลงทุนจากต่างประเทศของสหรัฐ (CFIUS) มีมติคัดค้านข้อเสนอวงเงิน 1.2 พันล้านดอลลาร์ของบริษัทแอนท์ ไฟแนนเชียล เซอร์วิสเซส กรุ๊ป ในการเข้าซื้อกิจการของมันนี่แกรม ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงของประเทศ

นักลงทุนจับตากระทรวงแรงงานสหรัฐซึ่งมีกำหนดเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนธ.ค.ในวันพรุ่งนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานจะเพิ่มขึ้นราว 190,000 ตำแหน่งในเดือนธ.ค. หลังจากที่เพิ่มขึ้น 228,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ย. และคาดว่าอัตราว่างงานจะทรงตัวที่ระดับ 4.1%

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยในสัปดาห์นี้ได้แก่ ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนธ.ค.จาก ADP, จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนธ.ค.จากมาร์กิต, ดุลการค้าเดือนพ.ย., ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนพ.ย. และดัชนีภาคบริการเดือนธ.ค.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM)


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ