ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดพุ่ง 230.94 จุด รับมุมมองบวกมาตรการภาษีนำเข้ายังไม่มีผลบังคับใช้

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday April 5, 2018 06:39 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (4 เม.ย.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากการที่นักลงทุนมีมุมมองที่เป็นบวกว่า มาตรการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าของทั้งฝั่งสหรัฐและจีนนั้น น่าจะยังไม่มีผลบังคับใช้ในทันที ประกอบกับนายแลร์รี่ คุดโลว์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาเปิดเผยว่า คณะทำงานของปธน.ทรัมป์ต้องการที่จะเจรจากับจีน มากกว่าที่จะประกาศสงครามการค้า ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาผลประกอบการของธนาคารรายใหญ่สหรัฐซึ่งจะเริ่มเปิดเผยในสัปดาห์หน้า รวมทั้งตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนมี.ค.ของสหรัฐซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันพรุ่งนี้

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,264.30 จุด พุ่งขึ้น 230.94 จุด หรือ +0.96% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,644.69 จุด เพิ่มขึ้น 30.24 จุด หรือ +1.16% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,042.11 จุด เพิ่มขึ้น 100.83 จุด หรือ +1.45%

ในช่วงแรกนั้น ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงอย่างหนักเนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากกระทรวงการคลังจีนได้เปิดเผยรายการสินค้าของสหรัฐที่จะถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าในวงเงิน 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งประกอบด้วยสินค้า 106 รายการใน 14 หมวดสินค้า เพื่อตอบโต้รัฐบาลสหรัฐที่เปิดเผยรายการสินค้าของจีนที่จะถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าจำนวน 1,300 รายการ คิดเป็นวงเงินรวม 5 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงสินค้าด้านเทคโนโลยี

อย่างไรก็ตาม ดัชนีดาวโจนส์ดีดตัวขึ้นสู่แดนบวกในเวลาต่อมา เนื่องจากนักลงทุนมีมุมมองที่เป็นบวกว่า มาตรการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าของทั้งฝั่งสหรัฐและจีนนั้น น่าจะยังไม่มีผลบังคับใช้ในทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจากการแสดงความเห็นของนายแลร์รี่ คุดโลว์ ผู้อำนวยการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติประจำทำเนียบขาว ซึ่งกล่าวว่า การประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนอาจไม่มีการบังคับใช้จริงในที่สุด และทำงานของปธน.ทรัมป์ก็ต้องการที่จะเจรจากับจีน มากกว่าที่จะประกาศสงครามการค้า

นายคุดโลว์ยังกล่าวด้วยว่า มาตรการดังกล่าวของสหรัฐนั้น ถือเป็นกลยุทธ์ที่ใช้ในการบังคับให้จีนกลับมาเจรจาเกี่ยวกับพฤติกรรมทางการค้า พร้อมกล่าวว่า จริงๆแล้วปธน.ทรัมป์มีความเชื่อในเรื่องการค้าเสรี และต้องการแก้ไขปัญหานี้โดยให้เจ็บปวดน้อยที่สุด

นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์โจนส์ เทรดดิ้ง กล่าวว่า ความไม่แน่นอนในการบังคับใช้มาตรการภาษีนำเข้าทำให้นักลงทุนเริ่มคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้า และหันไปให้ความสนใจต่อรายงานผลประกอบการของบริษัทจะทะเบียน โดยกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ของสหรัฐจะเริ่มรายงานผลประกอบการไตรมาสแรกในวันที่ 13 เม.ย. ซึ่งหากบริษัทจดทะเบียนรายงานกำไรตามที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ก็จะเป็นปัจจัยหนุนตลาดหุ้นนิวยอร์กในเดือนนี้

นอกจากนี้ นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์แห่งนี้ยังกล่าวด้วยว่า การที่ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา อาจเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนเข้ามาช้อนซื้อเก็งกำไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นที่ดิ่งลงอย่างหนักก่อนหน้านี้

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดีดตัวขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 2 โดยหุ้นอเมซอน พุ่งขึ้น 1.3% หุ้นแอปเปิล ดีดตัวขึ้น 1.9% หุ้นอัลฟาเบท ปรับตัวขึ้น 1% หุ้นไมโครซอฟท์ ทะยานขึ้น 2.9% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ พุ่งขึ้น 1.8% และหุ้นเทสลา พุ่งขึ้น 7.3% หลังจากบริษัทยืนยันว่ายังไม่มีความจำเป็นในการระดมทุนเพิ่มในปีนี้ พร้อมประกาศเพิ่มจำนวนการผลิตรถยนต์เทสลา โมเดล 3

อย่างไรก็ตาม หุ้นเฟซบุ๊ก ขยับลง 0.7% อันเนื่องจากข่าวที่ว่า นายมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของเฟซบุ๊ก จะเข้าให้การต่อคณะกรรมาธิการฝ่ายพลังงานและพาณิชย์ประจำสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ในวันที่ 11 เม.ย.นี้ เพื่อชี้แจงกรณีการรั่วไหลของข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้บริการเฟซบุ๊กจำนวน 50 ล้านคน

หุ้นเลนนาร์ คอร์ป ซึ่งเป็นบริษัทรับสร้างบ้าน ทะยานขึ้น 10% ขณะที่หุ้นคาร์แม็กซ์ อิงค์ ผู้จำหน่ายรถยนต์มือสอง พุ่งขึ้น 4.6% หลังจากทั้งสองบริษัทเปิดเผยผลประกอการที่ดีเกินคาด

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ ออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) และมูดี้ส์ อนาลิติกส์ เปิดเผยว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐพุ่งขึ้น 241,000 ตำแหน่งในเดือนมี.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 205,000 ตำแหน่ง หลังจากทะยานขึ้น 246,000 ตำแหน่งในเดือนก.พ.

ทางด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า คำสั่งซื้อภาคโรงงานของสหรัฐเพิ่มขึ้น 1.2% ในเดือนก.พ. หลังจากร่วงลง 1.3% ในเดือนม.ค. ขณะที่สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยผลสำรวจซึ่งระบุว่า ดัชนีภาคบริการของสหรัฐร่วงลงสู่ระดับ 58.8 ในเดือนมี.ค. โดยต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 59.0 หลังจากแตะระดับ 59.5 ในเดือนก.พ.

นักลงทุนจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนมี.ค.ของสหรัฐซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันพรุ่งนี้ โดยนักวิเคราะห์จำนวนหนึ่งคาดการณ์ว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรจะเพิ่มขึ้น 185,000 ตำแหน่งในเดือนมี.ค. ขณะที่อัตราการว่างงานจะลดลงสู่ระดับ 4.0% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2543 หรือต่ำสุดในรอบกว่า 17 ปี จากระดับ 4.1% ในเดือนก.พ.


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ