ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดลบ 11.55 จุด นักลงทุนเมินผลประกอบการแกร่ง

ข่าวหุ้น-การเงิน Saturday April 28, 2018 06:47 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดขยับลงเมื่อคืนนี้ (26 เม.ย.) ขณะที่อีกสองดัชนีหลักอย่าง S&P500 และ Nasdaq บวกเพียงเล็กน้อย ท่ามกลางการเปิดเผยรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนหลายแห่ง และข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญอย่างตัวเลข GDP โดยนักลงทุนชั่งใจว่าผลประกอบการที่ออกมาดีเกินคาดของบริษัทรายใหญ่นั้นจะเพียงพอชดเชยกับสภาวะเศรษฐกิจที่ส่งสัญญาณชะลอความร้อนแรงได้หรือไม่

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,311.19 จุด ลดลง 11.15 จุด หรือ -0.05% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,669.91 จุด เพิ่มขึ้น 2.97 จุด หรือ +0.11% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,119.80 จุด เพิ่มขึ้น 1.12 จุด หรือ +0.02%

สำหรับทั้งสัปดาห์ ดาวโจนส์ลดลง 0.6% ดัชนี S&P ลดลง 0.01% และ Nasdaq ลดลง 0.4% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงครั้งในรอบสามสัปดาห์ของทั้งสามดัชนี

ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างผันผวน โดยตลาดไม่ได้ขานรับเท่าไรนักต่อรายงานผลประกอบการของหลายบริษัทที่ออกมาแข็งแกร่ง โดยถึงแม้บริษัทเทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตรายใหญ่อย่าง อเมซอน ไมโครซอฟท์ และอินเทล รายงานผลประกอบการที่ดีเกินคาด แต่แรงซื้อกลับไม่คึกคักเท่าที่ควร เพราะถูกจำกัดจากรายงานผลประกอบการของเอ็กซอน โมบิล บริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ ที่เผยกำไรต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ รวมถึงการเปิดเผยข้อมูลการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐที่ชะลอตัวลง

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 สำหรับการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 1 ที่ระดับ 2.3% ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 2.0%

อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัวในอัตราที่ต่ำลง เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ของปีที่แล้ว ซึ่งมีการเติบโต 2.9%

การชะลอตัวของเศรษฐกิจในไตรมาส 1 ในปีนี้ มีสาเหตุจากการชะลอตัวของการใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งอยู่ในระดับต่ำที่สุดในรอบเกือบ 5 ปี โดยการใช้จ่ายของผู้บริโภค เพิ่มขึ้น 1.1% ในไตรมาส 1 ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 2 ของปี 2556 หลังจากพุ่งขึ้น 4.0% ในไตรมาส 4 ของปีที่แล้ว

ขณะเดียวกัน การลงทุนด้านเครื่องมือและอุปกรณ์ในภาคธุรกิจชะลอตัวสู่ระดับ 4.7% ในไตรมาส 1 ขณะที่การใช้จ่ายในภาครัฐเพิ่มขึ้นเพียง 1.2% ต่ำกว่าระดับ 3% ในไตรมาส 4 ของปีที่แล้ว

ทั้งนี้ ในปี 2560 เศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัว 1.4% ในไตรมาสแรก, 3.1% ในไตรมาส 2, 3.2% ในไตรมาส 3 และ 2.9% ในไตรมาส 4 ซึ่งการขยายตัวของเศรษฐกิจในไตรมาส 2,3 และ 4 ของปีที่แล้ว ถือเป็นการปรับตัวที่แข็งแกร่งที่สุดในช่วง 9 เดือนในรอบ 1 ทศวรรษ

นอกจากข้อมูล GDP แล้ว ข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการรายงานวานนี้ยังรวมถึงความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดยผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐขั้นสุดท้ายในเดือนเม.ย. อยู่ที่ 98.8 สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้

ในส่วนของการรายงานผลประกอบการ บริษัทเอ็กซอน โมบิล คอร์ป เปิดเผยว่า บริษัทมีรายได้ในไตรมาส 1 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ โดยบริษัทมีรายได้ 6.821 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ระดับ 6.359 หมื่นล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ดี บริษัทมีกำไร 1.09 ดอลลาร์/หุ้น ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ระดับ 1.12 ดอลลาร์/หุ้น

ด้านอเมซอน บริษัทอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ เผยกำไรและรายได้ไตรมาสแรกภายหลังปิดตลาดในวันพฤหัสบดี โดย อเมซอน บริษัทค้าปลีกออนไลน์ยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ เปิดเผยว่า กำไรของบริษัทในไตรมาสแรกของปี 2561 ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัว รับยอดขายที่เพิ่มขึ้น

อเมซอนรายงานว่า ในไตรมาสแรกของปีนี้ซึ่งสิ้นสุด ณ วันที่ 31 มี.ค. 2561 อเมซอนมียอดขายสุทธิเพิ่มขึ้น 43% แตะ 5.14 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่ระดับ 3.57 หมื่นล้านดอลลาร์

ตัวเลขดังกล่าวคิดเป็นรายได้สุทธิ 1.63 พันล้านดอลลาร์ หรือ 3.27 ดอลลาร์ต่อหุ้น เมื่อเทียบกับในไตรมาสแรกของปี 2560 ที่มีรายได้สุทธิ 724 ล้านดอลลาร์ หรือ 1.48 ดอลลาร์ต่อหุ้น

อเมซอนมีกำไรรายไตรมาสเกินหลัก 1 พันล้านดอลลาร์เป็นครั้งที่สองแล้ว โดยในไตรมาสก่อนหน้านั้น อเมซอนมีกำไรกว่า 1.8 พันล้านดอลลาร์

ขณะที่ ไมโครซอฟท์ ซึ่งเป็นบริษัทซอฟต์แวร์และผู้ให้บริการออนไลน์รายใหญ่ของสหรัฐ เปิดเผยว่า รายได้ในไตรมาส 3 ของปีงบดุลบัญชีของบริษัทซึ่งสิ้นสุด ณ วันที่ 31 มี.ค. 2561 นั้น อยู่ที่ระดับ 2.68 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ โดยได้แรงหนุนจากผลิตภัณฑ์ไมโครซอฟท์ คลาวด์ ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า

ส่วนกำไรสุทธิในไตรมาสดังกล่าว อยู่ที่ 7.4 พันล้านดอลลาร์ หรือ 93 เซนต์ต่อหุ้น ขณะที่กำไรจากการดำเนินงาน เพิ่มขึ้น 23% สู่ระดับ 8.3 พันล้านดอลลาร์

จากข้อมูลล่าสุดโดยบริษัทวิจัย FactSet ของสหรัฐพบว่า การรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนมาจนถึงขณะนี้นั้น โดยรวมแล้วออกมาเป็นบวก โดยผลการสำรวจพบว่า บริษัท 79.4% ในดัชนี S&P 500 ที่ได้รายงานผลประกอบการแล้ว มีตัวเลขกำไรที่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์

อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการที่ออกมาดี ไม่ได้หมายความว่าจะช่วยหนุนหุ้นบริษัทนั้นๆ เสมอไป

หุ้นอเมเซอนบวก 3.6% หุ้นไมโครซอฟท์บวก 1.7% ส่วนหุ้นอินเทลลบ 0.6% ถึงแม้บริษัทเผยผลประกอบการและมุมมองที่ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ก็ตาม

หุ้นเอ็กซอน โมบิล ร่วง 3.8% หุ้นเชฟรอน บวก 1.9%

หุ้นเอ็กซ์พีเดีย พุ่ง 8.2% หุ้นสตาร์บัคส์ ลบ 1.7% หุ้นคอลเกต-ปาล์มโอลีฟ ขยับลง 0.02%

ทางด้านความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐนั้น บอนด์ยีลด์สหรัฐปรับตัวลดลงเป็นวันที่สองติดต่อกัน ซึ่งคลายความกังวลให้กับนักลงทุน หลังจากก่อนหน้านี้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐได้พุ่งขึ้นแตะระดับ 3% เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 4 ปี ซึ่งทำให้เกิดความกังวลว่าต้นทุนการกู้ยืมของภาคเอกชนจะปรับตัวสูงขึ้น และอาจเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดไว้

สำหรับข่าวสารความเคลื่อนไหวที่นักลงทุนจับตาในสัปดาห์หน้าได้แก่ การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าเฟดจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมดังกล่าว และจะปรับขึ้นในการประชุมเดือนมิ.ย.


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ