ดาวโจนส์พุ่งกว่า 150 จุดต่อเนื่องจากวานนี้ นักลงทุนมองสงครามการค้าสหรัฐ-จีนไม่รุนแรง

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday September 19, 2018 21:13 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นกว่า 150 จุดในวันนี้ ต่อเนื่องจากที่ทะยานขึ้นเมื่อวานนี้ ขณะที่นักลงทุนมองว่าการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนจะไม่รุนแรงมากเท่ากับที่มีการคาดการณ์ก่อนหน้านี้

ณ เวลา 21.09 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 26,398.37 จุด เพิ่มขึ้น 151.41 จุด หรือ 0.58%

หุ้นโบอิ้งและแคทเธอร์ พิลลาร์พุ่งขึ้นกว่า 1% ในการซื้อขายช่วงแรก โดยหุ้นของบริษัททั้งสองถือเป็นตัวชี้วัดสภาวะการค้าของสหรัฐ เนื่องจากมีการลงทุนจำนวนมากในต่างประเทศ

ราคาหุ้นเทสลาร่วงลง 0.6% สวนทางตลาด โดยได้รับผลกระทบจากการที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐแจ้งให้บริษัทส่งมอบเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการที่นายอีลอน มัสก์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท ได้ทวีตข้อความก่อนหน้านี้เกี่ยวกับการนำเทสลาออกจากการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาด

ทั้งนี้ นายมัสก์ได้ทวีตข้อความในวันที่ 7 ส.ค.ว่า เขามีแผนที่จะนำบริษัทเทสลาออกจากการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาด โดยเขามีแหล่งเงินทุนที่จะเข้าซื้อหุ้นที่ระดับราคา 420 ดอลลาร์ ซึ่งข่าวนี้ส่งผลให้ราคาหุ้นเทสลาพุ่งขึ้นแตะ 387.46 ดอลลาร์ในวันดังกล่าว ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์

นักกฎหมายเตือนว่าการทวีตข้อความของนายมัสก์เสี่ยงที่จะทำให้คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ (SEC) สั่งปรับบริษัท และอาจทำให้นายมัสก์ถูกดำเนินคดีอาญา

ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้น 184.84 จุด หรือ 0.71% เมื่อคืนนี้ จากการที่นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตราต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากหุ้นเทคโนโลยีที่พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง หลังจากรัฐบาลสหรัฐเปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์สมาร์ทวอทช์จากบริษัทแอปเปิล และบริษัทฟิตบิท ไม่ได้รวมอยู่ในรายการสินค้าที่ถูกเรียกเก็บภาษีในครั้งนี้

ทั้งนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ในอัตราต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ โดยเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มอีก 10% ซึ่งจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ย.นี้ และจากนั้นจะเพิ่มเป็น 25% ตั้งแต่ช่วงต้นปีหน้า

ขณะที่รัฐบาลจีนได้ออกมาตอบโต้ด้วยการประกาศเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐในอัตราภาษี 5-10% คิดเป็นวงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 24 ก.ย. อย่างไรก็ตาม อัตราภาษีดังกล่าวยังต่ำกว่าระดับ 20% ที่มีการคาดการณ์ก่อนหน้านี้

นักลงทุนจับตาการประชุมกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 25-26 ก.ย. โดยคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ ก่อนที่จะปรับขึ้นอีกครั้งในเดือนธ.ค. หลังจากปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมี.ค.และมิ.ย. ซึ่งจะส่งผลให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวม 4 ครั้งในปีนี้ ส่วนในปีหน้า เฟดยังคงส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้ง

ส่วนการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในวันนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านเพิ่มขึ้นมากกว่าคาดในเดือนส.ค. โดยพุ่งขึ้น 9.2% เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 1.282 ล้านยูนิต จากระดับ 1.174 ล้านยูนิตในเดือนก.ค. นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 1.235 ล้านยูนิตในเดือนส.ค. กระทรวงพาณิชย์สหรัฐยังเปิดเผยว่า ตัวเลขการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของสหรัฐลดลง 2.03 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาส 2 สู่ระดับ 1.015 แสนล้านดอลลาร์

ตัวเลขการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดดังกล่าว เทียบเท่ากับ 2% ของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของสหรัฐ ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 3 ของปี 2557

นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า ตัวเลขการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของสหรัฐจะลดลงสู่ระดับ 1.035 แสนล้านดอลลาร์ในไตรมาส 2


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ