ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดร่วง 181.45 จุด วิตกสงครามการค้า,ตลาดจับตาประชุมเฟด

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday September 25, 2018 06:48 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (24 ก.ย.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากทั้งสองประเทศได้เริ่มบังคับใช้มาตรการภาษีนำเข้าครั้งใหม่เมื่อวานนี้ นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากข่าวที่ว่าจีนได้ยกเลิกการเจรจาการค้ากับสหรัฐ ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 25-26 ก.ย. ท่ามกลางกระแสคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,562.05 จุด ร่วงลง 181.45 จุด หรือ -0.68% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,919.37 จุด ลดลง 10.30 จุด หรือ -0.35% ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,993.25 จุด เพิ่มขึ้น 6.29 จุด หรือ +0.08%

ดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดร่วงลง หลังจากรัฐบาลสหรัฐบังคับใช้มาตรการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนครั้งใหม่ในวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์เมื่อวานนี้ ขณะที่รัฐบาลจีนบังคับใช้มาตรการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐครั้งใหม่ในวงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ในวันเดียวกัน

ตลาดได้รับแรงกดดันมากขึ้นจากรายงานข่าวที่ว่า จีนได้ยกเลิกแผนการส่งนายหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีจีน เดินทางไปยังกรุงวอชิงตันเพื่อเจรจาการค้ากับสหรัฐ จากเดิมที่มีกำหนดในสัปดาห์นี้ หลังจากสหรัฐออกมาตรการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนครั้งใหม่วงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ และจากการที่กระทรวงต่างประเทศสหรัฐประกาศคว่ำบาตรหน่วยงานด้านกลาโหมของจีนและผู้บริหารของหน่วยงานดังกล่าว

หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมร่วงลงเนื่องจากสงครามการค้าได้กลับมาสร้างแรงกดดันต่อตลาดอีกครั้ง โดยหุ้นโบอิ้ง ร่วงลง 1.1% หุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ ดิ่งลง 1.5% หุ้น 3M ปรับตัวลง 1.3% หุ้นยูไนเต็ด เทคโนโลยีส์ ลดลง 1.2% หุ้นเอเมอร์สัน อิเล็กทริก ลดลง 0.7% หุ้นอีตัน คอร์ป ร่วงลง 1.2% และหุ้นเจเนอรัล อิเล็กทริก ดิ่งลง 3.5%

หุ้นกลุ่มสินค้าผู้บริโภคซึ่งมีความอ่อนไหวต่อแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยต่างก็ปรับตัวลง โดยหุ้นไทสัน ฟู้ดส์ ลดลง 0.4% หุ้นพรอกเตอร์ แอนด์ แกมเบิล ร่วงลง 1.7% หุ้นเป๊ปซี่โค ร่วงลง 2.3% และหุ้นโคคา-โคลา ดิ่งลง 1.1% ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าผู้บริโภค ปรับตัวลง 1.5%

หุ้นคอมแคสต์ ซึ่งเป็นบริษัทสื่อยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ และเป็นบริษัทแม่ของเอ็นบีซียูนิเวอร์แซล ร่วงลง 6% หลังจากนักวิเคราะห์เตือนว่า ผลประกอบการของคอมแคสต์อาจถูกกระทบ หลังจากคอมแคสต์ได้รับชัยชนะในการเสนอซื้อกิจการของสกาย ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเครือข่ายเคเบิลทีวีของยุโรป ด้วยวงเงิน 3.9 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าวงเงินในข้อเสนอของทเวนตี้ เฟิร์สต์ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์ถึง 10% โดยฟ็อกซ์เสนอซื้อหุ้นสกายที่ระดับเพียง 15.67 ปอนด์ ขณะที่คอมแคสต์เสนอที่ระดับ 17.28 ปอนด์

หุ้นแบร์ริค โกลด์ ซึ่งเป็นผู้ประกอบการเมืองรายใหญ่ที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์ก พุ่งขึ้น 5.4% หลังจากแบร์ริค โกลด์ประกาศเข้าซื้อกิจการของบริษัทแรนด์โกลด์ รีซอร์สเซส ด้วยวงเงิน 6.1 พันล้านดอลลาร์ เพื่อตั้งบริษัทเหมืองทองขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งมีมูลค่ารวม 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์

หุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ดีตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งเมื่อคืนนี้ หลังจากกลุ่มโอเปกและผู้ผลิตน้ำมันนอกกลุ่มโอเปกได้ปฏิเสธข้อเรียกร้องของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ต้องการให้โอเปกเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อสกัดการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมัน โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล พุ่งขึ้น 1.7% หุ้นเชฟรอน ดีดขึ้น 1.2% หุ้นเชซาพีค เอนเนอร์จี พุ่งขึ้น 5.2% หุ้นอ็อคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม เพิ่มขึ้น 1.4% หุ้นเดวอน เอนเนอร์จี พุ่งขึ้น 2.5% และหุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ปรับตัวขึ้น 0.9%

ส่วนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดีดตัวขึ้น ซึ่งช่วยหนุนดัชนี Nasdaq ปิดในแดนบวก โดยหุ้นเฟซบุ๊ก พุ่งขึ้น 1.5% หุ้นแอปเปิล เพิ่มขึ้น 1.4% หุ้นอเมซอนดอทคอม เพิ่มขึ้น 1% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ พุ่งขึ้น 2.3% หุ้นอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล เพิ่มขึ้น 0.6% และหุ้นไมโครซอฟท์ ปรับตัวขึ้น 0.4%

นักลงทุนจับตาการประชุมกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 25-26 ก.ย. โดยคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมครั้งนี้ ก่อนที่จะปรับขึ้นอีกครั้งในเดือนธ.ค. หลังจากปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมี.ค.และมิ.ย. ซึ่งจะส่งผลให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวม 4 ครั้งในปีนี้

นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ ดัชนีราคาบ้านเดือนก.ค.จากเอสแอนด์พี/เคส-ชิลเลอร์, ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ย.จาก Conference Board, ยอดขายบ้านใหม่เดือนส.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนส.ค., ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2/2561, ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนส.ค., ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนส.ค. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ