ดาวโจนส์ฟิวเจอร์พุ่งเกือบ 300 จุด บ่งชี้วอลล์สตรีทดีดตัวคืนนี้ นักลงทุนคลายกังวลเฟดขึ้นดบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday October 12, 2018 20:26 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ล่วงหน้าพุ่งขึ้นเกือบ 300 จุดในวันนี้ บ่งชี้ว่าตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะดีดตัวขึ้นในคืนนี้ ขณะที่นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับการเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)

นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการเปิดเผยผลประกอบการที่สดใสของภาคธนาคารสหรัฐ รวมทั้งการคาดการณ์ที่ว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง อาจเจรจากันนอกรอบการประชุม G20 ที่กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา ซึ่งอาจช่วยยุติการทำสงครามการค้าระหว่างทั้งสองประเทศ

ณ เวลา 20.25 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดาวโจนส์ล่วงหน้าบวก 276 จุด หรือ 1.10% สู่ระดับ 25,461 จุด

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐร่วงลงวานนี้ ขณะที่สหรัฐเปิดเผยตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่ชะลอตัวลงในเดือนก.ย. ซึ่งช่วยลดคาดการณ์การเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวผันผวนในสัปดาห์นี้ โดยได้พุ่งขึ้นเมื่อวันพุธ จากการเปิดเผยตัวเลขดัชนีราคาผู้ผลิตสหรัฐ (PPI) ที่ทะยานขึ้น ซึ่งบ่งชี้ว่าเฟดอาจเร่งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปีทำสถิติแตะระดับสูงสุดในรอบ 10 ปี ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีสูงสุดในรอบ 7 ปี และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 30 ปีสูงสุดในรอบ 8 ปี อย่างไรก็ดี อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวลงวานนี้ หลังการเปิดเผยตัวเลขดัชนี CPI ที่ต่ำกว่าคาด

นักลงทุนจับตาการกล่าวสุนทรพจน์ของเจ้าหน้าที่เฟดหลายรายในวันนี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเศรษฐกิจ และอัตราเงินเฟ้อ รวมทั้งทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐในปีนี้

นายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ กล่าวว่า การพบปะกันระหว่างปธน.ทรัมป์และปธน.สี จิ้นผิงนอกรอบการประชุม G20 ที่กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา อาจเกิดขึ้นได้ หากรัฐบาลสหรัฐเชื่อว่าการพบปะกันของผู้นำทั้งสองจะก่อให้เกิดประโยชน์

"มาตรการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าถือเป็นเครื่องมือเจรจาต่อรองที่สำคัญ ซึ่งถ้าการพบปะกันจะส่งผลบวกต่อทิศทางการเจรจาการค้า ผมก็เชื่อว่าท่านประธานาธิบดีจะสนับสนุนให้มีการจัดประชุมดังกล่าว" นายมนูชินกล่าว

คำกล่าวของนายมนูชินสอดคล้องกับที่นายแลร์รี คุดโลว์ ที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาว กล่าวก่อนหน้านี้ว่า ทำเนียบขาวกำลังดำเนินการเพื่อให้มีการพบปะกันระหว่างปธน.ทรัมป์และปธน.สี จิ้นผิงนอกรอบการประชุม G20 ที่กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา ซึ่งจะจัดการประชุมในวันที่ 30 พ.ย.-1 ธ.ค.

การเจรจาดังกล่าวจะมีขึ้น ท่ามกลางการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน โดยสหรัฐขู่เรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 2.67 แสนล้านดอลลาร์ นอกเหนือจากที่เรียกเก็บภาษีสินค้าวงเงิน 5 หมื่นล้านดอลลาร์ และ 2 แสนล้านดอลลาร์ก่อนหน้านี้

หากสหรัฐเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มอีกในวงเงิน 2.67 แสนล้านดอลลาร์ ก็เท่ากับว่าสหรัฐได้เรียกเก็บภาษีต่อสินค้าทั้งหมดที่จีนส่งเข้าไปยังสหรัฐ โดยข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐระบุว่า สหรัฐได้นำเข้าสินค้าจากจีนวงเงิน 5.05 แสนล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว

นายมนูชินยังกล่าวว่า การดิ่งลงของตลาดหุ้นในสัปดาห์นี้ ถือเป็นการปรับฐานตามปกติ

"ตลาดมักปรับตัวแรงเกินไปทั้งพุ่งขึ้นมากไป หรือดิ่งลงมากไป แต่เศรษฐกิจสหรัฐยังคงแข็งแกร่ง โดยการขยายตัวและเงินเฟ้อยังคงอยู่ภายใต้การควบคุม" นายมนูชินกล่าว

ทั้งนี้ ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลง 831 จุดเมื่อวันพุธ และร่วงลง 545 จุดเมื่อวานนี้ ส่งผลให้ทรุดตัวลง 2 วันเกือบ 1,400 จุด หรือมากกว่า 5%

ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทปรับตัวย่ำแย่ที่สุดในสัปดาห์นี้นับตั้งแต่เดือนมี.ค. โดยได้รับผลกระทบจากความกังวลเกี่ยวกับการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจเร่งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ

นอกจากนี้ นายมนูชินยังได้กล่าวปกป้องปธน.ทรัมป์ซึ่งได้โจมตีนโยบายปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด โดยระบุว่า "ท่านประธานาธิบดีเพียงแต่แสดงจุดยืนว่าชอบอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำ และเฟดก็ไม่ได้รับความเสียหายจากคำกล่าวของท่านประธานาธิบดี ขณะที่ทำเนียบขาวยังคงเคารพในความเป็นอิสระของเฟด"

กระทรวงการคลังสหรัฐเตรียมออกรายงานรอบครึ่งปีว่าด้วยประเทศที่บิดเบือนค่าเงินในวันที่ 15 ต.ค. โดยนักลงทุนจะจับตาในส่วนที่ระบุถึงจีน ซึ่งขณะนี้เป็นคู่กรณีของสหรัฐในการทำสงครามการค้า

ที่ผ่านมา ปธน.ทรัมป์มักกล่าวหาจีนว่าจงใจลดค่าเงินหยวน เพื่อสร้างความได้เปรียบในการส่งออก และทำให้จีนเกินดุลการค้าอย่างมากต่อสหรัฐ ซึ่งปธน.ทรัมป์มองว่าเป็นการดำเนินการทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมต่อสหรัฐ

สำนักงานศุลกากรจีน (GAC) รายงานในวันนี้ว่า ยอดส่งออกของจีนในรูปสกุลเงินดอลลาร์ประจำเดือนก.ย. พุ่งขึ้น 14.5% เมื่อเทียบรายปี ขณะที่ยอดนำเข้าเพิ่มขึ้น 14.3% ส่งผลให้จีนมียอดเกินดุลการค้าในเดือนก.ย.ทั้งสิ้น 3.2 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยเกินดุลสหรัฐพุ่งขึ้น 16.6% สู่ระดับ 3.1931 แสนล้านหยวน (4.634 หมื่นล้านดอลลาร์) ขณะนำเข้าจากสหรัฐเพิ่มขึ้นเพียง 1.6% อยู่ที่ระดับ 8.623 หมื่นล้านหยวน

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า เจ้าหน้าที่ในกระทรวงการคลังสหรัฐได้ให้คำแนะนำแก่นายมนูชินว่า จีนไม่ได้บิดเบือนค่าเงินแต่อย่างใด ส่งผลให้มีการคาดการณ์ว่า ในรายงานที่กระทรวงการคลังสหรัฐจะเปิดเผยในวันจันทร์หน้านั้น สหรัฐจะยังคงไม่มีการระบุว่าจีนเป็นประเทศที่ปั่นค่าเงิน แต่จะขึ้นบัญชีในฐานะประเทศที่ "ถูกจับตามอง" ต่อพฤติกรรมการดำเนินการเกี่ยวกับค่าเงิน และนโยบายเศรษฐกิจมหภาค เช่นเดียวกับที่ได้ระบุไว้ในรายงาน 3 ฉบับก่อนหน้านี้ นับตั้งแต่ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งในต้นปี 2560

อย่างไรก็ดี นายมนูชินยังคงมีอำนาจในการทบทวนแก้ไขรายงานดังกล่าว ซึ่งหากในที่สุดรายงานฉบับนี้ระบุว่าจีนเป็นประเทศที่บิดเบือนค่าเงิน ก็จะส่งผลให้รัฐบาลสหรัฐเรียกเก็บภาษีนำเข้าต่อสินค้าจีน รวมทั้งออกมาตรการลงโทษอื่นๆ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ