ดัชนีดาวโจนส์ยังคงร่วงลงต่อเนื่องในวันนี้ โดยล่าสุดทรุดตัวกว่า 450 จุด หลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ, การทรุดตัวของตลาดหุ้นจีน, ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน, ความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลก, ความวิตกเกี่ยวกับราคาหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีที่พุ่งสูงเกินปัจจัยพื้นฐาน และความตึงเครียดด้านความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและซาอุดิอาระเบีย
ณ เวลา 00.53 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 25,242.40 จุด ลดลง 464.28 จุด หรือ 1.81%
ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงมากกว่า 3% ในเดือนนี้
เฟดเปิดเผยรายงานการประชุมประจำวันที่ 25-26 ก.ย. โดยระบุว่า กรรมการเฟดส่วนใหญ่มีความเห็นตรงกันว่า เฟดจำเป็นต้องเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจสหรัฐ และควบคุมอัตราเงินเฟ้อ รวมทั้งป้องกันความเสี่ยงจากภาวะไร้สมดุลทางการเงิน
สำหรับการประชุมเมื่อวันที่ 25-26 ก.ย.ที่ผ่านมา คณะกรรมการเฟดมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 2.00-2.25% พร้อมกับส่งสัญญาณว่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. หลังจากปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมี.ค.,มิ.ย. และในเดือนก.ย. ซึ่งจะส่งผลให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวม 4 ครั้งในปีนี้ ส่วนในปีหน้า เฟดยังคงส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้ง
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปีพุ่งทะลุระดับ 2.90% ในวันนี้ แตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 10 ปี หลังจากที่เฟดส่งสัญญาณเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ณ เวลา 20.55 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปี พุ่งขึ้นสู่ระดับ 2.907% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน มิ.ย.2551 ซึ่งในวันดังกล่าวอัตราผลตอบแทนแตะระดับ 3.014% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ดีดตัวสู่ระดับ 3.213% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 3.384%
ราคาพันธบัตร และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะปรับตัวในทิศทางตรงกันข้ามกัน
ทั้งนี้ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีถือเป็นพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ใช้อ้างอิงในการกำหนดราคาของตราสารหนี้ทั่วโลก ซึ่งรวมถึงอัตราดอกเบี้ยจำนองของสหรัฐ ซึ่งหากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวขึ้น จะทำให้ผู้บริโภคมีเงินสำหรับการใช้จ่ายลดน้อยลง ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการจ่ายเงินกู้จำนองเพิ่มมากขึ้น และบริษัทต่างๆจะเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากการชำระหนี้ จึงทำให้บริษัทเหล่านี้ลดการลงทุน และลดการจ่ายเงินปันผลแก่นักลงทุน
นายแลร์รี คุดโลว์ ที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาว กล่าวว่า การเจรจาเพื่อแก้ไขความขัดแย้งทางการค้ากับจีนยังคงไม่มีความคืบหน้า
"พวกเขาเป็นพ่อค้าที่ดำเนินการอย่างไม่ยุติธรรม และทำผิดกฎหมาย พวกเขาได้ขโมยทรัพย์สินทางปัญญาของเรา และจีนก็ไม่ได้ตอบสนองในทางที่ดีต่อสิ่งที่เราร้องขอ" นายคุดโลว์กล่าว
"อเมริกามีเทคโนโลยีที่ดีที่สุดในโลก ซึ่งถือเป็นกระดูกสันหลังของเรา แต่จีนไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงขโมยมัน และเราจะไม่อนุญาตให้สิ่งนี้เกิดขึ้น" เขากล่าว ก่อนการพบปะกันระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์และประธานาธิบดีสี จิ้นผิงนอกรอบการประชุม G20 ที่กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา ในวันที่ 30 พ.ย.-1 ธ.ค.
นายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ ทวีตข้อความระบุว่า เขาได้ตัดสินใจยกเลิกการเข้าร่วมงานประชุม Future Investment Initiative (FII) ที่กรุงริยาด ซาอุดิอาระเบีย หลังจากที่ก่อนหน้านี้เขายืนยันว่าจะเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว
นายมนูชินระบุว่า เขาได้ตัดสินใจดังกล่าว หลังทำการหารือกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และนายไมค์ ปอมเปโอ รมว.ต่างประเทศสหรัฐ
อย่างไรก็ดี นายมนูชินไม่ได้ระบุเหตุผลเบื้องหลังการตัดสินใจยกเลิกการเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้
ทั้งนี้ การประชุม FII ถือเป็นการจัดประชุมภาคธุรกิจครั้งใหญ่ของซาอุดิอาระเบีย โดยมีวิทยากรกว่า 150 รายจาก 140 องค์กรเข้าร่วมงาน
ทางด้านผู้นำของหลายประเทศ และบริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่ง พากันยกเลิกการเข้าร่วมงานดังกล่าว หลังเกิดกรณีการหายตัวไปของนายจามาล คาช็อกกี ผู้สื่อข่าวซาอุดิอาระเบีย ระหว่างเข้าไปติดต่อธุระที่สถานกงสุลซาอุดิอาระเบียในนครอิสตันบูล ขณะที่มีรายงานว่า ซาอุดิอาระเบียส่งมือสังหารจำนวน 15 คนเพื่อทรมาน และฆาตกรรมนายคาช็อกกี
นายคาช็อกกีเป็นคอลัมนิสต์ของนสพ.วอชิงตัน โพสต์ และได้ลี้ภัยไปใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศเมื่อปีที่แล้วเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับกุม จากการที่เขามักวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดิอาระเบีย และเรียกร้องให้มีการปฏิรูปการเมืองในซาอุดิอาระเบีย