ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกเมื่อคืนนี้ (11 ธ.ค.) เนื่องจากการอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องของเงินปอนด์ได้ช่วยหนุนหุ้นบริษัทข้ามชาติดีดตัวขึ้น นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยบวกจากการที่นักลงทุนคาดหวังว่า การเจรจาการค้าระหว่างเจ้าหน้าที่สหรัฐและจีนจะสามารถคลี่คลายข้อพิพาทการค้าระหว่างสองประเทศได้
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,806.94 จุด เพิ่มขึ้น 85.40 จุด หรือ +1.27%
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดตลาดปรับตัวขึ้น โดยได้แรงหนุนจากรายงานที่ว่า นายหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีจีน ได้โทรศัพท์หารือกับนายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ และนายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) เมื่อวานนี้ เพื่อคลี่คลายข้อพิพาททางการค้าระหว่างทั้ง 2 ประเทศ โดยนักลงทุนขานรับข่าวการเจรจาการค้าระหว่างเจ้าหน้าที่จีนและสหรัฐ เนื่องจากเป็นการส่งสัญญาณว่าทั้ง 2 ฝ่ายยังคงเปิดช่องทางการเจรจาทางการค้าระหว่างกัน
นอกจากนี้ การอ่อนค่าของเงินปอนด์ช่วยหนุนหุ้นของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในดัชนี FTSE 100 โดยรายได้ 75% ของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนนั้นอยู่ในรูปของสกุลเงินต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้ การอ่อนค่าของเงินปอนด์จึงเป็นปัจจัยหนุนหุ้นของบริษัทเหล่านี้
หุ้นกลุ่มธนาคารและกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้น โดยหุ้นเอชเอสบีซี โฮลดิ้งส์ ปรับตัวขึ้น 0.9% และหุ้นบีพี พุ่งขึ้น 1.5%
หุ้นดับเบิลยูพีพี ซึ่งเป็นบริษัทโฆษณารายใหญ่ ทะยานขึ้น 4.8% หลังจากบริษัทประกาศปรับโครงสร้างองค์กร เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการลดต้นทุนภายในปี 2564
นักลงทุนจับตาสถานการณ์ที่อังกฤษแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) โดยรายงานล่าสุดระบุว่า นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ได้เดินทางเข้าพบผู้นำของสหภาพยุโรป (EU) เมื่อวานนี้ เพื่อหาทางออกให้กับร่างข้อตกลงการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ก่อนที่จะมีการประชุมสุดยอดผู้นำ EU ในวันที่ 13-14 ธ.ค.
ทั้งนี้ นางเมย์ได้หารือกับนายมาร์ค รุทท์ นายกรัฐมนตรีเนเธอร์แลนด์ และนางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี เพื่อขอเสียงสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาในข้อตกลง Brexit
อย่างไรก็ดี ผู้นำของ EU ส่งสัญญาณชัดเจนว่า พวกเขายินดีที่จะให้คำชี้แจงในประเด็นต่างๆต่อนางเมย์ แต่จะไม่มีการเจรจาต่อรองครั้งใหม่ต่อข้อตกลง Brexit ดังกล่าว
ขณะที่นางแมร์เคิลระบุจุดยืนของเยอรมนีว่าจะไม่มีการเจรจาทำข้อตกลง Brexit ฉบับใหม่