ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดพุ่ง 157.03 จุด ขานรับเจรจาการค้าคืบหน้า,ข่าวจีนเตรียมเปิดตลาด

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday December 13, 2018 06:37 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (12 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาทการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ส่งสัญญาณว่า การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนกำลังดำเนินไปด้วยดี ขณะเดียวกันมีรายงานว่า จีนเตรียมเปิดตลาดให้บริษัทต่างชาติมากขึ้น โดยความคืบหน้าด้านการค้าของทั้งสองประเทศได้ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นโบอิ้งและหุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสภาวะการค้าในต่างประเทศของสหรัฐ ขณะที่หุ้นบริษัทเทคโนโลยีซึ่งมีการลงทุนจำนวนมากในประเทศจีนนั้น ปรับตัวขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มรถยนต์ยังพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขานรับข่าวจีนเตรียมปรับลดภาษีรถยนต์ที่นำเข้าจากสหรัฐ

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,527.27 จุด พุ่งขึ้น 157.03 จุด หรือ +0.64% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,651.07 จุด เพิ่มขึ้น 14.29 จุด หรือ +0.54% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,098.31 จุด เพิ่มขึ้น 66.48 จุด หรือ +0.95%

ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างคึกคักเมื่อคืนนี้ หลังจากปธน.ทรัมป์กล่าวว่า การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนกำลังดำเนินไปด้วยดี และเขาพร้อมจะแทรกแซงกรณีการจับกุมตัวนางเมิ่ง ว่านโจว ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (ซีเอฟโอ) ของบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี หากจะช่วยให้สหรัฐสามารถบรรลุข้อตกลงการค้ากับจีน

ปธน.ทรัมป์ยังกล่าวด้วยว่า จีนจะซื้อถั่วเหลืองจำนวนมากจากสหรัฐ หลังจากที่สหรัฐและจีนประกาศยุติสงครามการค้าชั่วคราว ซึ่งทรัมป์มองว่าความเคลื่อนไหวดังกล่าวถือเป็นความตั้งใจที่จะลดความไม่สมดุลทางการค้าระหว่างสองประเทศ

ตลาดยังได้แรงหนุนจากรายงานของหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล ซึ่งระบุว่า จีนกำลังเตรียมทดแทนนโยบาย "Made in China 2025" ด้วยนโยบายใหม่ที่จะทำให้บริษัทต่างชาติสามารถเข้าสู่ตลาดจีนได้มากขึ้น ซึ่งนโยบายใหม่นี้จะทำให้จีนลดเป้าหมายในการเป็นผู้นำในภาคการผลิต โดยคาดว่าจีนอาจใช้นโยบายใหม่ในต้นปีหน้า ขณะที่สหรัฐและจีนจะเร่งการเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้งทางการค้าระหว่างกัน

หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมพุ่งขึ้น โดยหุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ พุ่งขึ้น 1.7% หุ้นโบอิ้ง เพิ่มขึ้น 1.5% หุ้น 3M พุ่งขึ้น 1.2% หุ้นยูไนเต็ด เทคโนโลยีส์ เพิ่มขึ้น 0.6% หุ้นอีตัน คอร์ป เพิ่มขึ้น 0.3% ทั้งนี้ หุ้นโบอิ้งและแคทเธอร์พิลลาร์ถือเป็นตัวชี้วัดสภาวะการค้าของสหรัฐ เนื่องจากมีการลงทุนจำนวนมากในต่างประเทศ

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวขึ้นเช่นกัน โดยหุ้นเฟซบุ๊ก พุ่งขึ้น 1.7% หุ้นแอปเปิล เพิ่มขึ้น 0.3% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ พุ่งขึ้น 3.6% หุ้นอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล เพิ่มขึ้น 1.1% หุ้น Nvidia เพิ่มขึ้น 0.5% หุ้นไมครอน เทคโนโลยี พุ่งขึ้น 2.3% หุ้นซิสโก ซิสเต็มส์ เพิ่มขึ้น 0.7% และหุ้นอินเทล เพิ่มขึ้น 0.9%

หุ้นกลุ่มรถยนต์พุ่งขึ้นขานรับรายงานข่าวที่ว่า คณะรัฐมนตรีจีนเตรียมพิจารณาข้อเสนอปรับลดอัตราภาษีรถยนต์ที่นำเข้าจากสหรัฐ ลงสู่ระดับ 15% จากปัจจุบันที่ระดับ 40% โดยหุ้นเจเนอรัล มอเตอร์ (GM) ทะยานขึ้น 2.85% หุ้นฟอร์ด มอเตอร์ พุ่งขึ้น 1.2% หุ้นเฟียต ไครสเลอร์ พุ่งขึ้น 2%

ส่วนหุ้นบริษัทจีนที่เข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กปรับตัวขึ้นเช่นกัน โดยหุ้น JD.com พุ่งขึ้น 4.7% หุ้นทีเอแอล เอ็ดดูเคชัน พุ่งขึ้น 4.9% และหุ้นเทนเซนต์ มิวสิค เอนเตอร์เทนเมนท์ที่เปิดตัวซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กวันแรกเมื่อคืนนี้ พุ่งขึ้น 7.7%

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับปัจจัยหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะไม่เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ทรงตัวในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งเป็นการปรับตัวที่อ่อนแอที่สุดในรอบ 8 เดือน และสอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลังจากเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนต.ค.

นักลงทุนจับตาการประชุมเฟดในวันที่ 18-19 ธ.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งจะเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 4 สำหรับปีนี้ แต่จะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า หลังการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่ทรงตัว และการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่ซบเซาในเดือนพ.ย.

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ยอดค้าปลีกเดือนพ.ย., การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ย., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นต้นเดือนธ.ค.จากมาร์กิต, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นต้นเดือนธ.ค.จากมาร์กิต และสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนต.ค.


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ