ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดพุ่ง 265.06 จุด รับความหวังข้อตกลงการค้าสหรัฐ-จีน

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday January 1, 2019 06:44 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (31 ธ.ค.) ซึ่งเป็นวันทำการวันสุดท้ายของปี 2561 โดยได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนมีความหวังเกี่ยวกับข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน หลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ เปิดเผยว่า การพูดคุยเกี่ยวกับการค้ากับนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน เมื่อช่วงสุดสัปดาห์นั้น มีความคืบหน้าอย่างมาก

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 23,327.46 จุด พุ่งขึ้น 265.06 จุด หรือ +1.15% ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,635.28 จุด เพิ่มขึ้น 50.76 จุด หรือ +0.77% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,506.85 จุด เพิ่มขึ้น 21.11 จุด หรือ +0.85%

ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับปัจจัยสนับสนุนจากความหวังที่ว่า การเจรจาข้อตลงการค้าอย่างครอบคลุมระหว่างสหรัฐกับจีนจะเดินหน้าไปด้วยดี ภายหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ได้ทวีตข้อความเมื่อวันเสาร์ว่า การหารือเกี่ยวกับการค้าทางโทรศัพท์ระหว่างตนเองและประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน นั้นมีความคืบหน้าอย่างมาก แม้แหล่งข่าวใกล้ชิดเผยว่า ปธน.ทรัมป์อาจกล่าวเกินจริงไปสักหน่อยเกี่ยวกับความคืบหน้าในการเจรจา เพื่อคลายความกังวลของนักลงทุนในตลาด หลังจากที่ตลาดหุ้นสหรัฐร่วงลงอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ ได้สนทนากันทางโทรศัพท์เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันที่จะใช้ความพยายามในการบรรลุข้อตกลงแก้ไขปัญหาข้อพิพาททางการค้าต่อจากที่เจรจากันไว้นอกรอบการประชุม G20 ที่อาร์เจนตินา

หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมดีดตัวขึ้นขานรับความหวังในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน โดยหุ้นโบอิ้ง ดีดตัวขึ้น 1.9% หุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ พุ่งขึ้น 1.1% หุ้น 3M เพิ่มขึ้น 0.6% หุ้นเอเมอร์สัน อิเล็กทริก เพิ่มขึ้น 1.05% และหุ้นอีตัน คอร์ป เพิ่มขึ้น 0.6%

หุ้นกลุ่มธุรกิจเพื่อสุขภาพปรับตัวขึ้นเช่นกัน โดยหุ้นไฟเซอร์ ซึ่งเป็นบริษัทยาที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐ พุ่งขึ้น 1.6% หุ้นพรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล (P&G) ดีดตัวขึ้น 0.7%

อย่างไรก็ตาม ปี 2561 ถือเป็นปีที่ไม่สู้ดีนักสำหรับตลาดหุ้นสหรัฐ ท่ามกลางปัจจัยไม่แน่นอนต่างๆที่ทำให้ตลาดเผชิญกับภาวะการซื้อขายที่ผันผวน ไม่ว่าจะเป็นข้อพิพาทการค้า การขึ้นดอกเบี้ยของเฟด และแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก เป็นต้น โดยตลอดทั้งปี 2561 ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลงทั้งสิ้น 5.6% ขณะที่ดัชนี S&P500 ร่วงลง 6.2% และดัชนี Nasdaq ลดลง 3.9%

นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนธ.ค.จากมาร์กิต, ดัชนีภาคการผลิตเดือนธ.ค. จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM), ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนธ.ค.จาก ADP, จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีภาวะธุรกิจนิวยอร์กเดือนธ.ค. จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM), การใช้จ่ายภาคการก่อสร้างเดือนพ.ย., ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนธ.ค. และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนธ.ค.จากมาร์กิต

นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาสถานการณ์ชัตดาวน์ในสหรัฐ โดยรายงานล่าสุดระบุว่า สมาชิกพรรคเดโมแครตในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐได้วางแผนที่จะยุติภาวะชัตดาวน์ ด้วยการผ่านร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวโดยไม่รวมงบประมาณการสร้างกำแพงกั้นชายแดนเม็กซิโกวงเงิน 5 พันล้านดอลลาร์ตามที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เรียกร้อง

ทั้งนี้ สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐวางแผนที่จะผ่านร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวในวันพฤหัสบดีที่ 3 ม.ค.ตามเวลาสหรัฐ ซึ่งเป็นวันที่พรรคเดโมแครตครองจะเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรอย่างเป็นทางการ โดยการผ่านร่างงบประมาณชั่วคราวในครั้งนี้จะทำให้กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิมีงบประมาณในการดำเนินงานไปจนถึงวันที่ 8 ก.พ. นอกจากนี้ ร่างงบประมาณฉบับดังกล่าวยังรวมถึงการให้งบประมาณแก่หน่วยงานอื่นๆอีก 6 แห่งที่ถูกชัตดาวน์ ซึ่งรวมถึงกระทรวงเกษตร กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงเพื่อการพัฒนาที่อยู่อาศัยและพื้นที่เขตเมือง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ