ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดร่วง 301.87 จุด วิตกข้อพิพาทการค้า,ศก.โลกชะลอตัว

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday January 23, 2019 06:55 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 300 จุดเมื่อคืนนี้ (22 ม.ค.) เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก หลังจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้และปีหน้า นอกจากนี้ นักลงทุนยังกังวลว่าข้อพิพาทการค้าระหว่างสหรัฐและจีนอาจทวีความรุนแรงมากขึ้น หลังจากสื่อรายงานว่าทำเนียบขาวได้ปฏิเสธแผนการจัดการเจรจาการค้ากับจีนในสัปดาห์นี้ รวมทั้งรายงานที่ว่ารัฐบาลสหรัฐจะยื่นคำร้องให้แคนาดาส่งตัวผู้บริหารของบริษัทหัวเว่ยกลับมาดำเนินคดีในสหรัฐ

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,404.48 จุด ร่วงลง 301.87 จุด หรือ -1.22% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,632.90 จุด ลดลง 37.81 จุด หรือ -1.42% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,020.36 จุด ดิ่งลง 136.87 จุด หรือ -1.91%

นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก หลังจาก IMF คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกจะขยายตัว 3.5% ในปีนี้ และ 3.6% ในปีหน้า ซึ่งต่ำกว่าระดับ 3.7% สำหรับทั้ง 2 ปีที่มีการคาดการณ์ในเดือนต.ค.ปีที่แล้ว โดย IMF เตือนว่าเศรษฐกิจโลกยังคงเผชิญปัจจัยเสี่ยงหลายประการ ซึ่งรวมถึงความเสี่ยงจากการที่อังกฤษอาจแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) โดยไม่มีการทำข้อตกลง และเศรษฐกิจจีนที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงอีก

ทางด้านสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) เปิดเผยว่า GDP ในไตรมาส 4/2561 ขยายตัวเพียง 6.4% ส่วน GDP ตลอดปี 2561 ขยายตัว 6.6% จากระดับของปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นการขยายตัวที่ระดับต่ำสุดในรอบ 28 ปี อันเนื่องมาจากผลกระทบของการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน

ขณะเดียวกันนักลงทุนกังวลว่า การที่รัฐบาลสหรัฐจะยื่นคำร้องอย่างเป็นทางการเพื่อขอให้แคนาดาส่งตัวนางเมิ่ง หว่านโจว ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของบริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี กลับมาดำเนินคดีในสหรัฐนั้น อาจกระทบต่อการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน

นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากรายงานของสื่อต่างประเทศซึ่งระบุว่า ทำเนียบขาวได้ปฏิเสธแผนการจัดการเจรจาการค้ากับจีนในสัปดาห์นี้ เนื่องจากทั้งสองฝ่ายมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันในเรื่องการบังคับใช้กฎระเบียบเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา อย่างไรก็ตาม นายแลร์รี่ คุดโลว์ ที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาว ได้ออกมาปฏิเสธรายงานข่าวดังกล่าวในเวลาต่อมา

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มผู้ผลิตชิปร่วงลงเนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาทการค้า โดยหุ้นเฟซบุ๊ก ลดลง 1.6% หุ้นอเมซอนดอทคอม ร่วงลง 3.7% หุ้นอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล ดิ่งลง 2.6% หุ้นแอปเปิล ร่วงลง 2.2% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ร่วงลง 4.1% หุ้นไมโครซอฟท์ ร่วงลง 1.8% หุ้น Nvidia ร่วงลง 5.2% หุ้นไมครอน เทคโนโลยีส์ ร่วงลง 5.3% และหุ้นซิสโก ซิสเต็มส์ ลดลง 0.5%

หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมซึ่งมีความอ่อนไหวต่อประเด็นการค้าระหว่างประเทศ ร่วงลงเช่นกัน โดยหุ้นโบอิ้ง ร่วงลง 1.9% หุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ ดิ่งลง 3.2% หุ้นยูไนเต็ด เทคโนโลยีส์ ร่วงลง 2.5% หุ้นอีตัน คอร์ป ร่วงลง 1.2% หุ้น 3M ดิ่งลง 1.8% และหุ้นเจเนอรัล อิเล็กทริก ร่วงลง 4.8%

หุ้นจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ปรับตัวลง 1.4% แม้ว่าบริษัทเปิดเผยกำไรในไตรมาส 4 ที่ระดับ 1.12 ดอลลาร์/หุ้น ดีกว่าในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งบริษัทขาดทุน 3.99 ดอลลาร์/หุ้น โดยได้แรงหนุนจากยอดขายยารักษามะเร็ง และโรคสะเก็ดเงิน

หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงหลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ดิ่งลงกว่า 2% เมื่อคืนนี้ โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ร่วงลง 1.5% หุ้นเชฟรอน ดิ่งลง 1.7% หุ้นอ็อคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม ร่วงลง 2.8% หุ้นเดวอน เอนเนอร์จี ลดลง 1.9% หุ้นมาราธอน ปิโตรเลียม ร่วงลง 2% หุ้นเชซาพีค เอนเนอร์จี ดิ่งลง 7.7% และหุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ร่วงลง 3.1%

หุ้นทราเวลเลอร์ส คอมพานีส์ ลดลง 1.3% เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นแม้ว่าบริษัทเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 4 ที่ดีเกินคาดก็ตาม

นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยลบจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐ โดยสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองดิ่งลง 6.4% สู่ระดับ 4.99 ล้านยูนิตในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี โดยยอดขายถูกกดดันจากการพุ่งขึ้นของราคาบ้าน รวมทั้งการขาดแคลนที่ดินและแรงงาน

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ได้แก่ดัชนีราคาบ้านเดือนพ.ย., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเบื้องต้นเดือนม.ค.และภาคบริการเบื้องต้นเดือนม.ค.จากมาร์กิต


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ