(REPEAT) ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดลบ 63.20 จุด เหตุวิตกการค้าสหรัฐ-จีน,เศรษฐกิจโลกชะลอตัว

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday February 11, 2019 06:02 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อวันศุกร์ (8 ก.พ.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกเกี่ยวกับความไม่แน่นอนทางการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยกดดันให้ตลาดไม่สามารถปรับตัวขึ้น

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,106.33 จุด ลดลง 63.20 จุดหรือ -0.25% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,707.88 จุด เพิ่มขึ้น 1.83 จุดหรือ +0.07% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,298.20 จุด ปรับตัวขึ้น 9.85 จุดหรือ +0.14%

นักลงทุนในตลาดยังคงให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดกับความคืบหน้าของการเจรจาการค้าสหรัฐ-จีน โดยแหล่งข่าวจากรัฐบาลสหรัฐเปิดเผยว่า การประชุมระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง มีแนวโน้มอย่างมากที่จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ทันเส้นตายวันที่ 1 มี.ค. ที่ทั้งสองฝ่ายกำหนดไว้สำหรับการบรรลุข้อตกลงทางการค้า ขณะที่เจ้าหน้าที่ระบุว่า ถึงแม้ว่าผู้นำสหรัฐและจีนจะมีโอกาสพบกัน แต่ขณะนี้มีงานที่ต้องทำอย่างมาก และเหลือเวลาน้อยเกินไปในการทำข้อตกลงกับจีน นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ยังต้องเตรียมการประชุมสุดยอดกับนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ในช่วงปลายเดือนนี้ด้วย

ทั้งนี้ หากทั้ง 2 ฝ่ายยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้าก่อนวันดังกล่าว ปธน.ทรัมป์ก็จะเดินหน้าเพิ่มการเรียกเก็บภาษีนำเข้าต่อสินค้าจีนมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 25% จากเดิม 10% ในขณะนี้

ตลาดมีความกังวลกับภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวด้วย หลังจากคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) ซึ่งเป็นองค์กรบริหารของสหภาพยุโรป (EU) คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจยูโรโซนจะขยายตัวเพียง 1.3% ในปีนี้ ลดลงจากระดับ 1.9% ในปีที่แล้ว และคาดว่าในปีหน้า เศรษฐกิจยูโรโซนจะขยายตัวที่ระดับ 1.6% ขณะที่ก่อนหน้านี้ EC คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจยูโรโซนจะมีการขยายตัว 1.9% ในปีนี้ และ 1.7% ในปีหน้า

EC ยังคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจของ EU ซึ่งไม่รวมสหราชอาณาจักร จะขยายตัวเพียง 1.5% ในปีนี้ ลดลงจากระดับ 2.1% ในปีที่แล้ว และคาดว่าจะดีดตัวสู่ระดับ 1.8% ในปีหน้า โดย EC ระบุว่า ปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวลงนั้น มาจากผลกระทบของความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศ และหนี้ภาครัฐที่เพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากการที่นักลงทุนวิตกเกี่ยวกับแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน โดยซีเอ็นบีซีรายงานโดยอ้างข้อมูลจาก FactSet ระบุว่า ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาสแรกของปีนี้ คาดว่าจะลดลงมากกว่า 1%

ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลง 3 วันติดต่อกันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนธ.ค. โดยหุ้นยูไนเต็ดเฮลธ์ กรุ๊ป ปรับตัวลงมากที่สุด โดยร่วงลง 2.6%

อย่างไรก็ตาม ทั้งดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ปรับตัวเข้าสู่แดนบวกได้ในช่วงท้ายตลาด

หุ้น 7 ใน 11 กลุ่มของดัชนี S&P 500 ปิดบวก โดยกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มสาธารณูปโภคปรับตัวขึ้น ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานและการเงินลดลง

หุ้นรายใหญ่ในกลุ่มเทคโนโลยี อาทิ เฟซบุ๊ก แอปเปิล และ เน็ตฟลิกซ์ ปรับตัวลงในช่วงแรกก่อนปิดตลาดเพิ่มขึ้น ซึ่งช่วยหนุนดัชนี Nasdaq ปิดในแดนบวกได้

หุ้นเฟซบุ๊ก บวก 0.57% หุ้นแอปเปิล เพิ่มขึ้น 0.12% และหุ้นเน็ตฟลิกซ์ ปรับตัวขึ้น 0.83%

แต่หุ้นอเมซอนร่วงลง 1.62% หลังมีรายงานว่า อเมซอนกำลังตัดสินใจทบทวนโครงการสร้างสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ที่นิวยอร์ก ซิตี้ เนื่องจากเผชิญกับการคัดค้านจากประชาชนในพื้นที่ โดยก่อนหน้านี้ อเมซอนเลือกลองไอส์แลนด์ ซิตี้ในนิวยอร์ก และเนชั่นแนล แลนดิ้งในเวอร์จิเนียเป็นสถานที่ตั้งของ 2 สำนักงานใหญ่แห่งใหม่ในย่านอีสต์โคสต์ โดยสำนักงานใหญ่แต่ละแห่งจะรองรับพนักงาน 25,000 คน

อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ของนิวยอร์ก ซิตี้ และประชาชนในนิวยอร์กได้ออกมาคัดค้านโครงการก่อสร้างดังกล่าวของอเมซอน โดยวิตกว่าจะส่งผลให้ราคาสินค้าพุ่งขึ้น และทำให้ประชาชนในท้องถิ่นต้องถูกขับไล่ออกไป

ในส่วนของข้อมูลเศรษฐกิจนั้น ไม่มีการรายงานข้อมูลที่สำคัญเมื่อวันศุกร์


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ