ดาวโจนส์พุ่งกว่า 300 จุด ขานรับเจรจาการค้าคืบหน้า,คลายวิตกชัตดาวน์

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday February 15, 2019 22:29 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นกว่า 300 จุดในวันนี้ ขานรับการคาดการณ์เกี่ยวกับความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน รวมทั้งการคลายความวิตกเกี่ยวกับการปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐ (ชัตดาวน์) เป็นรอบที่ 2

ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะปิดทำการในวันจันทร์หน้า เนื่องในวันประธานาธิบดี

ณ เวลา 22.22 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 25,759.04 จุด เพิ่มขึ้น 319.65 จุด หรือ 1.26%

ดัชนีดาวโจนส์มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 8 ในสัปดาห์นี้

สำนักข่าวซินหัวของทางการจีนระบุว่า จีนและสหรัฐสามารถบรรลุฉันทามติในหลักการต่อประเด็นที่สำคัญในการเจรจาการค้าในสัปหน้านี้ที่กรุงปักกิ่ง

ซินหัวระบุว่า ทั้งสองฝ่ายได้หารือกันเกี่ยวกับประเด็นการถ่ายโอนเทคโนโลยี, การปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา, ดุลการค้า, ภาคบริการและการเกษตร รวมทั้งการหลีกเลี่ยงการสร้างอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี

นอกจากนี้ จีนและสหรัฐยังได้เจรจาในรายละเอียดเกี่ยวกับการทำบันทึกความเข้าใจ (MoU) ทางด้านการค้าและเศรษฐกิจ

ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงกล่าวในวันนี้ว่า การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนประสบความคืบหน้าที่สำคัญในสัปดาห์นี้ และทั้งสองฝ่ายจะยังคงเจรจาต่อไปที่กรุงวอชิงตันในสัปดาห์หน้า

"สัปดาห์หน้า ทั้งสองฝ่ายจะพบกันอีกครั้งที่กรุงวอชิงตัน ผมหวังว่าคุณจะยังคงใช้ความพยายามบรรลุข้อตกลงที่ได้ชัยชนะทั้งสองฝ่าย และได้ผลประโยชน์ร่วมกัน" ปธน.สี จิ้นผิงกล่าวต่อคณะเจรจาการค้าของสหรัฐ

ปธน.สี จิ้นผิงยังกล่าวว่า จีนพร้อมที่จะให้ความร่วมมือในการแก้ข้อขัดแย้งทางการค้ากับสหรัฐ

นายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ทวีตข้อความในวันนี้ ระบุว่า การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนในสัปดาห์นี้มีผลลัพธ์ที่ดี

ทางด้านสภาคองเกรสมีมติผ่านร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวแล้ว และมีการคาดการณ์กันว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะลงนามในร่างกฎหมายดังกล่าวเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะชัตดาวน์รอบ 2

ทั้งนี้ ร่างกฎหมายงบประมาณดังกล่าวจะให้เงินทุนแก่หน่วยงานรัฐบาลจำนวน 9 แห่งเพื่อให้สามารถปฏิบัติงานต่อไปได้จนถึงวันที่ 30 ก.ย. โดยหน่วยงานเหล่านี้ได้ถูกปิดทำการ และเจ้าหน้าที่รัฐบาลจำนวน 800,000 รายถูกพักงานชั่วคราวในช่วงชัตดาวน์ก่อนหน้านี้ ขณะที่หน่วยงานอื่นๆ ที่ถูกมองว่ามีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติยังคงสามารถเปิดดำเนินงานในช่วงชัตดาวน์

ทำเนียบขาวแถลงว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมแถลงข่าวที่ทำเนียบขาวในวันนี้ เวลา 10.00 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือคืนนี้เวลา 22.00 น.ตามเวลาไทย เพื่อกล่าวถึงวิกฤตการณ์ทางด้านความมั่นคงและมนุษยธรรมตามแนวชายแดนทางใต้ของสหรัฐ ซึ่งเขาจะประกาศความต้องการใช้งบประมาณ 8 พันล้านดอลลาร์ในการสร้างกำแพงกั้นชายแดนสหรัฐ-เม็กซิโก

มีการคาดการณ์กันว่า ปธน.ทรัมป์จะใช้อำนาจประธานาธิบดีประกาศภาวะฉุกเฉินแห่งชาติในวันนี้ เพื่อออกกฎหมายอนุมัติงบประมาณสร้างกำแพงกั้นแนวชายแดน โดยไม่ต้องผ่านการรับรองจากสภาคองเกรส

ถึงแม้สภาคองเกรสมีมติผ่านร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวแล้ว แต่ร่างกฎหมายดังกล่าวมีการเจียดงบประมาณสำหรับการสร้างรั้วความยาว 55 ไมล์เพียง 1.375 พันล้านดอลลาร์ ไม่ใช่กำแพงคอนกรีตความยาว 215 ไมล์ วงเงิน 5.7 พันล้านดอลลาร์ตามที่ปธน.ทรัมป์ต้องการ

หากปธน.ทรัมป์ทำการประกาศภาวะฉุกเฉินในวันนี้ ก็จะทำให้เขาสามารถดึงงบประมาณส่วนที่ขาดอยู่จากหน่วยงานอื่นได้ เพื่อให้ครบวงเงินสำหรับการสร้างกำแพงตามที่เขาต้องการ โดยคาดว่าปธน.ทรัมป์จะโยกงบประมาณจากกระทรวงการคลัง และกระทรวงกลาโหม

อย่างไรก็ดี นางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎร อาจยื่นฟ้องศาลเพื่อคัดค้านการใช้อำนาจประธานาธิบดีของปธน.ทรัมป์ดังกล่าว เนื่องจากอาจขัดต่อกฎหมาย

ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 95.5 ในเดือนก.พ. โดยสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 93.0 หลังจากแตะระดับ 91.2 ในเดือนม.ค.

การดีดตัวของดัชนีความเชื่อมั่นได้รับแรงหนุนจากการยุติการปิดหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐ (ชัตดาวน์) และการที่ธนาคารกลางสหรัฐส่งสัญญาณชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐเป็นการสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภค 500 รายต่อภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งได้แก่ ฐานะการเงินส่วนบุคคล, ภาวะเงินเฟ้อ, การว่างงาน, อัตราดอกเบี้ย และนโยบายรัฐบาล

ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) รายงานในวันนี้ว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐปรับตัวลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพ.ค.ปีที่แล้ว โดยได้รับผลกระทบจากการร่วงลงของการผลิตรถยนต์ และเครื่องจักร

เฟดเปิดเผยว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐร่วงลง 0.6% ในเดือนม.ค.

ทั้งนี้ การผลิตภาคอุตสาหกรรมเป็นการวัดการปรับตัวของภาคการผลิต, เหมืองแร่ และสาธารณูปโภค


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ