ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดลบ 23.33 จุด หลัง"ทรัมป์"ทุบความหวังข้อตกลงการค้า,ตลาดจับตาประชุมเฟด

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday July 31, 2019 06:46 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (30 ก.ค.) หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวโจมตีรัฐบาลจีนว่าพยายามถ่วงเวลาในการเจรจาการค้าเพื่อรอผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปีหน้า ซึ่งความเคลื่อนไหวของปธน.ทรัมป์ส่งผลให้นักลงทุนลดความคาดหวังเกี่ยวกับการบรรลุข้อตกลงการค้า และยังได้ฉุดหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลงด้วย ขณะที่นักลงทุนจับตาผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งจะมีการแถลงในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ ท่ามกลางการคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในการประชุมครั้งนี้

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 27,198.02 จุด ลดลง 23.33 จุด หรือ -0.09% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,013.18 จุด ลดลง 7.79 จุด หรือ -0.26% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,273.61 จุด ลดลง 19.71 จุด หรือ -0.24%

ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดอ่อนแรงลง เนื่องจากนักลงทุนลดความหวังเกี่ยวกับการบรรลุข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากปธน.ทรัมป์ได้ทวีตข้อความโจมตีจีนเมื่อวานนี้ว่า รัฐบาลจีนที่ไม่ได้ซื้อสินค้าเกษตรของสหรัฐตามที่ได้ให้สัญญาไว้ และจีนตั้งใจถ่วงเวลาการเจรจาการค้า เพื่อรอผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปีหน้า

ข้อความในทวิตเตอร์ของทรัมป์ระบุว่า "จีนควรซื้อสินค้าเกษตรของเราตั้งแต่ตอนนี้ แต่ก็ยังไม่มีสัญญาณว่าพวกเขาจะทำสิ่งนี้ นี่เป็นปัญหาของจีน พวกเขาไม่ยอมทำตามสัญญา เจ้าหน้าที่ของผมกำลังเจรจากับพวกเขาในขณะนี้ แต่พวกเขามักเปลี่ยนแปลงข้อตกลงในท้ายที่สุดเพื่อให้พวกเขาได้เปรียบ และพวกเขาคงกำลังรอผลการเลือกตั้งของเรา เพื่อดูว่านายโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครตจะชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีหรือไม่ ซึ่งถ้านายไบเดนชนะ จีนก็จะทำข้อตกลงเหมือนอย่างที่เคยทำมาในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา โดยยังคงเอาเปรียบสหรัฐมากขึ้น และรุนแรงขึ้น แต่ถ้าผมชนะเลือกตั้งในปีหน้า จีนก็จะต้องเผชิญกับการทำข้อตกลงที่ยากลำบากกว่าที่พวกเขากำลังเจรจาในขณะนี้ หรืออาจจะไม่สามารถทำข้อตกลงได้ ตอนนี้เรามีไพ่อยู่ในมือแล้ว ซึ่งผู้นำสหรัฐก่อนหน้านี้ไม่เคยมี"

การกล่าวโจมตีจีนของปธน.ทรัมป์มีขึ้นในขณะที่นายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ และนายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนอื่นๆได้เริ่มต้นเจรจาการค้าครั้งใหม่กับเจ้าหน้าที่จีนเมื่อวานนี้และและในวันนี้ที่นครเซี่ยงไฮ้

ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวดังกล่าวของปธน.ทรัมป์ได้สร้างแรงกดดันต่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ที่เข้าไปลงทุนจำนวนมากในประเทศจีน โดยหุ้นแอปเปิ้ล ปรับตัวลง 0.4% หุ้นอเมซอนดอทคอม ลดลง 0.7% หุ้นอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล ร่วงลง 1.1% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ร่วงลง 2.03% หุ้นไมโครซอฟท์ ลดลง 0.5% หุ้นอินเทล ร่วงลง 1.5% หุ้นซิสโก ซิสเต็มส์ ลดลง 0.8%

หุ้นอันเดอร์ อาร์เมอร์ ผู้ผลิตเครื่องกีฬาและเสื้อผ้ากีฬารายใหญ่ของสหรัฐ ร่วงลง 12.2% หลังจากบริษัทเปิดเผยรายได้ในไตรมาส 2 ที่ระดับ 1.192 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 1.199 พันล้านดอลลาร์

หุ้นแคปิตอล วัน ซึ่งเป็นหนึ่งในธนาคารขนาดใหญ่ของสหรัฐ ดิ่งลง 5.9% หลังจากทางธนาคารได้ตรวจพบการรั่วไหลของข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า ซึ่งรวมถึงตัวเลขประกันสังคม และหมายเลขบัญชีธนาคาร โดยแคปิตอล วัน คาดการณ์ว่า เหตุการณ์ครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อทางธนาคารคิดเป็นมูลค่าราว 100-150 ล้านดอลลาร์ในปีนี้

หุ้นเมิร์ค แอนด์ โค ซึ่งเป็นบริษัทเวชภัณฑ์รายใหญ่เป็นอันดับ 2 ของสหรัฐ ปรับตัวขึ้น 0.9% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรในไตรมาส 2 ที่ระดับ 1.30 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 1.16 ดอลลาร์/หุ้น

หุ้นพรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล (P&G) พุ่งขึ้น 3.8% หลังจากเปิดเผยกำไรในไตรมาส 2 ที่ระดับ 1.10 ดอลลาร์/หุ้น โดยสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 1.05 ดอลลาร์/หุ้น

นักลงทุนจับตาผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งรวมถึงบริษัทแอปเปิ้ล อิงค์ ที่มีกำหนดเปิดเผยผลประกอบการหลังจากตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดทำการ ขณะที่รายงานระบุว่า บริษัทจำนวนมากกว่า 50% ของดัชนี S&P 500 ได้ประกาศผลประกอบการออกมาแล้ว ซึ่งในจำนวนดังกล่าว ราว 75% ได้รายงานตัวเลขกำไรสูงกว่าคาด

นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูผลการประชุมนโยบายการเงินของเฟดในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ หรือในช่วงเช้าตรู่วันพรุ่งนี้ตามเวลาไทย โดยคาดว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมครั้งนี้

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า การใช้จ่ายของผู้บริโภคสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนมิ.ย. ซึ่งชะลอลงหลังจากเพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนพ.ค. ขณะที่สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เพิ่มขึ้น 2.8% สู่ระดับ 108.3 ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน โดยปรับตัวขึ้นเป็นเดือนที่ 2 จากระดับ 105.4 ในเดือนพ.ค.

ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ได้แก่ ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนก.ค.จาก ADP, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) เขตชิคาโกเดือนก.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนก.ค.จากมาร์กิต, ดัชนีภาคการผลิตเดือนก.ค. จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM), การใช้จ่ายภาคการก่อสร้างเดือนมิ.ย., ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.ค., ดุลการค้าเดือนมิ.ย., ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานมิ.ย. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ