ดาวโจนส์ร่วงไม่หยุด ล่าสุดดิ่งกว่า 200 จุด หลังภาคการผลิตสหรัฐหดตัวมากกว่าคาด

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday December 2, 2019 23:12 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงอย่างต่อเนื่องในวันนี้ ล่าสุดดิ่งลงกว่า 200 จุด หลังการเปิดเผยดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐที่ปรับตัวอ่อนแอกว่าที่คาดการณ์ไว้

ณ เวลา 23.02 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 27,825.61 จุด ลบ 225.80 จุด หรือ 0.80% หลังจากเปิดตลาดในแดนบวก

ผลสำรวจของสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) ระบุว่า ดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐปรับตัวลงสู่ระดับ 48.1 ในเดือนพ.ย. จากระดับ 48.3 ในเดือนต.ค. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 49.4

ดัชนียังคงอยู่ต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ภาวะหดตัวของภาคการผลิตของสหรัฐ ซึ่งเป็นการหดตัวเป็นเดือนที่ 4 โดยได้รับผลกระทบจากการทรุดตัวของคำสั่งซื้อใหม่ และสต็อกสินค้าคงคลัง

ภาคการผลิตของสหรัฐเริ่มเข้าสู่ภาวะหดตัวในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 3 ปี หลังจากที่มีการขยายตัวติดต่อกัน 35 เดือน

ทั้งนี้ ภาคธุรกิจมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ส่งผลให้คำสั่งซื้อเพื่อการส่งออกหดตัวลงตั้งแต่เดือนก.ค. โดยการบริโภค คำสั่งซื้อใหม่ สต็อกสินค้าคงคลังเพื่อการส่งออกและนำเข้า หดตัวลงเช่นกัน ขณะที่ภาคธุรกิจมีความเชื่อมั่นลดลง

อย่างไรก็ดี การปรับตัวลงของดัชนีภาคการผลิตของ ISM สวนทางกับข้อมูลของไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน ซึ่งระบุว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของสหรัฐ ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 52.6 ในเดือนพ.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 7 เดือน จากระดับ 51.3 ในเดือนต.ค.

ดัชนี PMI ยังคงอยู่สูงกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่าภาคการผลิตของสหรัฐยังคงมีการขยายตัว

ดัชนี PMI ได้รับแรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของคำสั่งซื้อใหม่สู่ระดับสูงสุดในรอบ 10 เดือน ขณะที่การจ้างงานสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. แต่ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจแตะระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน

ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นในช่วงแรก โดยได้แรงหนุนจากภาคการผลิตที่แข็งแกร่งของจีน

ทั้งนี้ ดัชนี PMI ภาคการผลิตของจีน ซึ่งมาร์กิตจัดทำร่วมกับไฉซิน อยู่ที่ระดับ 51.8 ในเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้นจากระดับ 51.7 ในเดือนต.ค. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 51.5

ดัชนี PMI ที่ปรับตัวเหนือระดับ 50 บ่งชี้ว่าภาคการผลิตของจีนมีการขยายตัว

ข้อมูลของไฉซินออกมาสอดคล้องกับที่สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานเมื่อวันเสาร์ว่า ดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนพ.ย. อยู่ที่ระดับ 50.2 เพิ่มขึ้นจากระดับ 49.3 ในเดือนต.ค.

ทางด้านข้อมูลจาก Bespoke ระบุว่า ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทมักพุ่งขึ้นในเดือนธ.ค. โดยการปรับตัวของดัชนี S&P 500 นับตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.ถึงเทศกาลขอบคุณพระเจ้าในสัปดาห์ที่แล้ว ถือว่าดีที่สุดเป็นอันดับที่ 14 นับตั้งแต่ปี 2471

Bespoke ระบุว่า นับตั้งแต่ปี 2471 หากตลาดหุ้นพุ่งขึ้น 20% หรือมากกว่านั้นภายในช่วงเทศกาลขอบคุณพระเจ้า เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในปีนี้ ดัชนี S&P 500 มักปิดตลาดดีดตัวขึ้นในช่วงสิ้นปี โดยปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 1.8% ระหว่างวันแบล็กฟรายเดย์และวันสิ้นปี

"เดือนธันวาคมมักเป็นเดือนที่ตลาดหุ้นพุ่งขึ้นมากที่สุด โดยดัชนี S&P 500 ดีดตัวขึ้น 1.6% โดยเฉลี่ย ขณะที่สถิติบ่งชี้โอกาส 76% ในการปรับตัวขึ้นในเดือนนี้" นายแซม สโตวอลล์ นักวิเคราะห์จาก CFRA กล่าว

นอกจากนี้ นายสโตวอลล์ยังระบุว่า เดือนธันวาคมเป็นเดือนที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนน้อยที่สุด

"ตลาดอาจอ่อนตัวลงในช่วงกลางเดือนธันวาคม แต่ก็จะเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าซื้อเก็งกำไร จนถึงช่วงสิ้นเดือนมกราคม แต่ตลาดจะไม่มีการปรับฐานครั้งใหญ่" เขากล่าว

อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์ยังคงเตือนให้นักลงทุนจับตาความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ซึ่งอาจเป็นปัจจัยกระทบการปรับตัวของตลาดหุ้นวอลล์สตรีทในเดือนนี้

แหล่งข่าวระบุว่า มีความเป็นไปได้ที่ทั้งสองฝ่ายจะบรรลุข้อตกลงการค้าก่อนวันที่ 15 ธ.ค. ซึ่งเป็นกำหนดวันที่สหรัฐจะเรียกเก็บภาษี 15% ต่อสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 1.56 แสนล้านดอลลาร์ แต่ถึงแม้ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถบรรลุข้อตกลงการค้าก่อนวันดังกล่าว ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ก็มีแนวโน้มที่จะเลื่อนการจัดเก็บภาษีดังกล่าวออกไป เนื่องจากไม่ต้องการให้ผู้บริโภคของสหรัฐได้รับผลกระทบจากราคาสินค้าที่จะพุ่งขึ้น ซึ่งรวมถึงสมาร์ทโฟน หากมีการเรียกเก็บภาษีจากจีน ขณะที่ใกล้กับช่วงเทศกาลช็อปปิ้งของสหรัฐ

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ทวีตข้อความในวันนี้ ระบุว่า เขาจะประกาศเรียกเก็บภาษีต่อเหล็กและอลูมิเนียมนำเข้าจากบราซิลและอาร์เจนตินา นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ยังเรียกร้องให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อไม่ให้สหรัฐเสียเปรียบต่อประเทศคู่แข่ง

"บราซิลและอาร์เจนตินาได้ทำการลดค่าเงินลงอย่างมาก ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อเกษตรกรของเรา ดังนั้น ผมจะเรียกเก็บภาษีต่อเหล็กกล้าและอลูมิเนียมนำเข้าจากบราซิลและอาร์เจนตินา โดยมีผลบังคับใช้ในทันที และธนาคารกลางสหรัฐควรดำเนินการ เพื่อไม่ให้ประเทศต่างๆเอาเปรียบเราด้วยการปรับลดค่าเงิน ขณะที่เรามีดอลลาร์ที่แข็งค่า ซึ่งทำให้ผู้ผลิตและเกษตรกรของเราประสบปัญหาในการส่งออกสินค้า โดยเฟดควรลดดอกเบี้ย และทำการผ่อนคลายทางการเงิน" ข้อความในทวิตเตอร์ระบุ

ที่ผ่านมา ปธน.ทรัมป์เคยเรียกร้องให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำกว่าระดับ 0% โดยระบุว่า อัตราดอกเบี้ยติดลบในยุโรปและภูมิภาคอื่นกำลังทำให้สหรัฐเสียเปรียบในการแข่งขันทางการค้า


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ