ดาวโจนส์พลิกปรับตัวสู่แดนลบ นักลงทุนจับตาสถานการณ์การค้า

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday December 5, 2019 22:26 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์พลิกปรับตัวสู่แดนลบ หลังจากที่เปิดปรับตัวขึ้น ขณะที่นักลงทุนประเมินความเป็นไปได้ว่าสหรัฐจะยกเลิกการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าเพิ่มเติมจากจีนที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 15 ธ.ค.นี้หรือไม่ หลังจากที่โฆษกกระทรวงพาณิชย์จีนออกมาย้ำว่า จีนต้องการให้สหรัฐยกเลิกการขึ้นภาษี โดยเป็นส่วนหนึ่งของการทำข้อตกลงการค้า

ณ เวลา 22.10 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 27,565.25 ลดลง 84.53 จุด หรือ 0.31%

ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างผันผวนในช่วงเปิดตลาดวันนี้ โดยหลังจากที่เปิดแดนบวกได้เพียงไม่นาน ดัชนีดาวโจนส์ รวมทั้ง S&P 500 และ Nasdaq ต่างก็พลิกกลับมาเคลื่อนไหวในแดนลบ เนื่องจากนักลงทุนเริ่มไม่แน่ใจเกี่ยวกับการบรรลุข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ในขณะที่กำหนดเส้นตายที่สหรัฐจะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าเพิ่มเติมจากจีนในวันที่ 15 ธ.ค.นี้นั้น กำลังงวดเข้ามาทุกขณะ

นายเกา เฟิง โฆษกกระทรวงพาณิชย์ของจีน กล่าวในวันนี้ว่า สหรัฐต้องลดภาษีสินค้านำเข้าจากจีน ทั้งสองฝ่ายจึงจะสามารถบรรลุข้อตกลงการค้าเฟสแรกกันได้

"จีนเชื่อว่า หากทั้งสองฝ่ายจะบรรลุข้อตกลงเฟสแรก ควรมีการปรับลดภาษีลงมาอย่างสอดคล้องกัน" นายเกากล่าวกับผู้สื่อข่าว พร้อมเผยด้วยว่า คณะเจรจาของสองฝ่ายกำลังติดต่อสื่อสารกันอย่างใกล้ชิด แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดใดเพิ่มเติม

คำกล่าวของโฆษกกระทรวงพาณิชย์จีนมีขึ้นหลังจากที่วานนี้สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า สหรัฐและจีนกำลังใกล้ที่จะบรรลุข้อตกลงการค้าเฟสแรก แม้ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายประสบความตึงเครียดเกี่ยวกับกรณีของฮ่องกงและซินเจียง

เจ้าหน้าที่รายหนึ่งของสหรัฐซึ่งไม่ประสงค์ออกนาม เปิดเผยว่า คณะเจรจาการค้าของสหรัฐมีความหวังว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงการค้าเฟสแรกกับจีนก่อนที่สหรัฐมีกำหนดเรียกเก็บภาษี 15% ต่อสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 1.56 แสนล้านดอลลาร์ในวันที่ 15 ธ.ค. นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังกล่าวว่า การที่สภาคองเกรสสหรัฐออกกฎหมายคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่จีนในกรณีละเมิดสิทธิมนุษยชนในฮ่องกงและซินเจียง จะไม่มีผลกระทบต่อการเจรจาการค้า

ทางด้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวในการประชุมสุดยอดขององค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต) เมื่อวานนี้ว่า การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนกำลังดำเนินไปอย่างดีมาก ซึ่งท่าทีดังกล่าวของปธน.ทรัมป์สวนทางกับที่เขาได้ส่งสัญญาณเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่า การบรรลุข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐและจีนอาจล่าช้าออกไปจนกว่าจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในเดือนพ.ย.ปีหน้า

เจ้าหน้าที่รายหนึ่ง ซึ่งไม่ประสงค์ออกนาม กล่าวว่า การแสดงความเห็นดังกล่าวของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ไม่ควรถูกนำมาตีความว่าการเจรจาการค้าได้สะดุดลง เนื่องจากปธน.ทรัมป์กล่าวโดยไม่มีการเตรียมตัวมาก่อน

ที่ผ่านมา จีนพยายามผลักดันให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยกเลิกคำสั่งการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติมจากจีน โดยจีนต้องการให้การดำเนินการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงการค้าเฟสแรกระหว่างสหรัฐและจีน

เมื่อเดือนที่แล้ว กระทรวงพาณิชย์จีนแถลงว่า สหรัฐและจีนได้ตกลงกันที่จะทยอยยกเลิกการจัดเก็บภาษีสินค้านำเข้าของแต่ละฝ่ายที่มีการกำหนดขึ้นในช่วงที่สหรัฐและจีนทำสงครามการค้าก่อนหน้านี้ โดยโฆษกกระทรวงพาณิชย์จีนระบุในการแถลงข่าวเมื่อต้นเดือนพ.ย.ว่า หากจีนและสหรัฐบรรลุข้อตกลงการค้าเฟสแรก ทั้งสองฝ่ายก็ควรยกเลิกการเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติมที่กำหนดไว้ในสัดส่วนที่เท่ากัน ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญในการบรรลุข้อตกลง

อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาปฏิเสธเรื่องดังกล่าว ขณะที่ทำเนียบขาวก็ได้ส่งสัญญาณที่แตกต่างออกไปจากแถลงการณ์ของกระทรวงพาณิชย์จีน โดยเจ้าหน้าที่หลายรายแสดงความกังวลว่าสหรัฐจะสูญเสียอำนาจในการต่อรองกับจีน หากมีการทำข้อตกลงทยอยยกเลิกการเก็บภาษีนำเข้า

ทั้งนี้ สหรัฐมีกำหนดเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 1.56 แสนล้านดอลลาร์ในวันที่ 15 ธ.ค. โดยสินค้าเหล่านี้รวมถึงโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์แล็ปท็อป และของเล่น

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยแล้วในวันนี้ ได้แก่ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐลดลง 7.6% สู่ระดับ 4.72 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นเดือนที่สองติดต่อกันที่สหรัฐมียอดขาดดุลการค้าลดลง

โดยการส่งออกสินค้าลดลง 0.2% สู่ระดับ 2.071 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่การนำเข้าสินค้าลดลง 1.7% สู่ระดับ 2.543 แสนล้านดอลลาร์

รายงานเผยด้วยว่า ยอดขาดดุลการค้าของสหรัฐกับจีนลดลง 1.1% จากเดือนก่อนหน้า สู่ระดับ 3.126 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนต.ค.

ด้านกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยในเวลาเดียวกันว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 10,000 ราย มาอยู่ที่ระดับ 203,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งสิ้นสุดในวันที่ 30 พ.ย. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นแตะที่ระดับ 215,000 ราย

ตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสัปดาห์ที่แล้ว ลดลงมาอยู่ที่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ช่วงกลางเดือนเม.ย. หรือในรอบ 7 เดือน ซึ่งสะท้อนว่าตลาดแรงงานสหรัฐยังแข็งแกร่ง

ส่วนตัวเลขค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์ของจำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ซึ่งถือเป็นมาตรวัดตลาดแรงงานที่ดีกว่า เนื่องจากขจัดความผันผวนรายสัปดาห์ ลดลง 2,500 ราย สู่ระดับ 217,750 รายในสัปดาห์ที่แล้ว

นอกจากนี้ยังมีข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐอีกหนึ่งรายการที่มีกำหนดเปิดเผยในคืนนี้ ได้แก่ ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนต.ค.

ขณะเดียวกัน นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในสัปดาห์หน้า โดยนักวิเคราะห์คาดว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ หลังจากที่ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยติดต่อกัน 3 ครั้งในปีนี้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ