ดาวโจนส์ลบ กังวลเส้นตายสหรัฐรีดภาษีจีน 15 ธ.ค.,คองเกรสเตรียมถอดถอน"ทรัมป์"

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday December 10, 2019 22:23 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์เปิดแดนลบในวันนี้ ขณะที่นักลงทุนยังไม่มั่นใจต่อข่าวที่ว่า สหรัฐจะชะลอการเรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นต่อสินค้านำเข้าจากจีนในวันที่ 15 ธ.ค.

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทยังถูกกดดันจากความวิตกเกี่ยวกับปัจจัยการเมืองในสหรัฐ หลังมีข่าวว่า สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐเตรียมลงมติถอดถอนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

ณ เวลา 22.09 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 27,882.64 จุด ลบ 26.96 จุด หรือ 0.10%

หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัลรายงานว่า สหรัฐจะชะลอการเรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นต่อสินค้านำเข้าจากจีนในวันที่ 15 ธ.ค.

ก่อนหน้านี้ สหรัฐกำหนดเส้นตายในวันที่ 15 ธ.ค. ซึ่งจะมีการเรียกเก็บภาษี 15% ต่อสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 1.56 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่จีนก็ได้ยืนยันที่จะตอบโต้ด้วยการเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐเช่นกัน

วอลล์สตรีท เจอร์นัลยังระบุว่า เจ้าหน้าที่เจรจาการค้าของสหรัฐได้เรียกร้องจีนให้คำมั่นสัญญาที่จะซื้อสินค้าเกษตรจากสหรัฐเพิ่มขึ้น ก่อนที่จะมีการบรรลุข้อตกลงการค้า ขณะที่จีนต้องการให้การซื้อสินค้าเกษตรสหรัฐมีสัดส่วนสอดคล้องกับการที่สหรัฐยกเลิกการเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีน

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่สหรัฐต้องการให้มีการทบทวนทุกรายไตรมาสเพื่อรับรองว่าจีนได้ซื้อสินค้าเกษตรสหรัฐตามที่ได้ตกลงกันไว้

ทางด้านหนังสือพิมพ์เซาธ์ ไชน่า มอร์นิ่ง โพสต์รายงานว่า สหรัฐและจีนไม่มีแนวโน้มที่จะบรรลุข้อตกลงการค้าเฟสแรกในสัปดาห์นี้

รายงานระบุว่า โอกาสที่สหรัฐจะบรรลุข้อตกลงการค้ากับจีนได้ริบหรี่ลง ขณะที่สหรัฐกำลังให้ความสนใจต่อการบรรลุข้อตกลงสหรัฐอเมริกา-เม็กซิโก-แคนาดา (USMCA)

แหล่งข่าวเปิดเผยว่า สมาชิกพรรคเดโมแครตในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐและฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ใกล้บรรลุข้อตกลง USMCA เพื่อนำมาทดแทนข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA)

อย่างไรก็ดี เซาธ์ ไชน่า มอร์นิ่ง โพสต์ระบุว่า แม้ว่าสหรัฐและจีนไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในสัปดาห์นี้ แต่สหรัฐก็ไม่มีแนวโน้มที่จะเพิ่มการเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีนในวันที่ 15 ธ.ค.ตามที่มีการกำหนดไว้ก่อนหน้านี้

ทางด้านเจ้าหน้าที่จีนเปิดเผยว่า จีนได้ซื้อถั่วเหลืองมากขึ้นจากสหรัฐ ขณะที่ทั้งสองฝ่ายยังคงเจรจาการค้าต่อไป

นายจ้าง เสี่ยวผิง ผู้อำนวยการสภาการส่งออกถั่วเหลืองสหรัฐประจำภูมิภาคจีน ฮ่องกง มาเก๊า ไต้หวัน กล่าวว่า ในช่วงเดือนก.ย.-พ.ย. จีนได้นำเข้าถั่วเหลืองจากสหรัฐมากขึ้น 13 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

ข้อมูลจากกรมศุลกากรจีนระบุว่า จีนได้นำเข้าถั่วเหลืองเพิ่มขึ้น 53.9% ในเดือนพ.ย. สู่ระดับ 8.278 ล้านตัน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.

ทั้งนี้ การส่งออกถั่วเหลืองจากสหรัฐไปจีนลดลงอย่างมากในช่วงครึ่งหลังของปีที่แล้ว หลังจากที่จีนประกาศปรับเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าถั่วเหลืองเพื่อตอบโต้สหรัฐ

นายจ้างกล่าวว่า ถั่วเหลืองสหรัฐที่จีนซื้อทั้งหมดในปีนี้ ได้ผ่านช่องทางการทำข้อตกลงพิเศษ โดยอยู่นอกเหนือการซื้อขายตามปกติซึ่งจะถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 30%

ทางด้านกระทรวงการคลังของจีนเปิดเผยว่า บริษัทจีนได้นำเข้าสินค้าโภคภัณฑ์จากสหรัฐ ขณะที่รัฐบาลจีนดำเนินการยกเว้นภาษีสำหรับถั่วเหลือง เนื้อสุกร และสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆจากสหรัฐ

ขณะเดียวกัน นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันนี้และพรุ่งนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่า เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ หลังจากปรับลดอัตราดอกเบี้ยติดต่อกัน 3 ครั้งในปีนี้

ทางด้านคณะกรรมาธิการตุลาการประจำสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐประกาศญัตติเกี่ยวกับการถอดถอนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในวันนี้ โดยมี 2 ญัตติ ได้แก่ การใช้อำนาจในทางมิชอบ และขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของสภาคองเกรส

ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการตุลาการจะลงมติต่อญัตติดังกล่าวในสัปดาห์นี้ ก่อนที่จะยื่นเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรแบบเต็มคณะ

สื่อรายงานว่า คณะกรรมาธิการตุลาการจะลงมติต่อญัตติดังกล่าวในวันพฤหัสบดีนี้ ขณะที่การลงมติในสภาผู้แทนราษฎรจะมีขึ้นในสัปดาห์หน้า

นายเจอร์โรลด์ แนดเลอร์ ประธานคณะกรรมาธิการตุลาการ กล่าวว่า "เรามีหน้าที่ในการปกป้องรัฐธรรมนูญ และปกป้องผลประโยชน์ของชาวอเมริกัน ซึ่งแตกต่างจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยการที่เขามีพฤติกรรมกดดันยูเครน ได้กระทบต่อความมั่นคงของชาติ และคุกคามบูรณภาพของการเลือกตั้งของเรา"

"ตลอดการไต่สวนของเรา ประธานาธิบดีทรัมป์ได้พยายามปกปิดหลักฐานจากสภาคองเกรส และจากชาวอเมริกัน การที่เขาทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชน ทำให้เขาละเมิดรัฐธรรมนูญ และเป็นภัยต่อระบอบประชาธิปไตย และความมั่นคงของชาติ" นายแนดเลอร์กล่าว

ทั้งนี้ นางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ได้เริ่มกระบวนการไต่สวนเพื่อถอดถอนปธน.ทรัมป์อย่างเป็นทางการเมื่อเดือนต.ค. หลังจากมีรายงานว่า ปธน.ทรัมป์ได้สนทนาทางโทรศัพท์กับนายโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน เพื่อกดดันให้มีการสอบสวนนายโจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐ และบุตรชายของเขา ซึ่งมีการทำธุรกิจในยูเครน โดยการกระทำดังกล่าวถูกมองว่าเป็นการเปิดทางให้รัฐบาลต่างชาติเข้ามาแทรกแซงการเลือกตั้งในสหรัฐ

นายไบเดนเป็นหนึ่งในผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรคเดโมแครต และถือเป็นคู่แข่งคนสำคัญของปธน.ทรัมป์ หากปธน.ทรัมป์ประสบความสำเร็จในการสกัดนายไบเดนออกจากการแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ปธน.ทรัมป์ก็มีแนวโน้มสูงที่จะได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอีกสมัย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ