ดาวโจนส์พุ่งกว่า 300 จุดต่อเนื่องจากวันศุกร์ จับตาดีเบต"ทรัมป์ VS ไบเดน"

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday September 28, 2020 21:01 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นกว่า 300 จุดในวันนี้ โดยปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจากวันศุกร์ที่ผ่านมา

ณ เวลา 20.47 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 27,542.63 จุด บวก 368.67 จุด หรือ 1.36%

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและธนาคารสามารถดีดตัวขึ้นในการซื้อขายวันนี้

หุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจสหรัฐ เช่น สายการบิน ค้าปลีก และธุรกิจเรือสำราญ ต่างก็ปรับตัวขึ้นเช่นกัน หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ยืนยันก่อนหน้านี้ว่าจะไม่มีการสั่งล็อกดาวน์สหรัฐเป็นรอบที่ 2

ขณะเดียวกัน นักลงทุนจับตาความคืบหน้าในการเจรจาระหว่างสภาคองเกรสและทำเนียบขาวในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหม่ เพื่อเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19

นอกจากนี้ ตลาดจับตาการดีเบตรอบแรกระหว่างคู่ชิงประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งได้แก่ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จากพรรครีพับลิกัน และนายโจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐ จากพรรคเดโมแครต ในสัปดาห์นี้

นักวิเคราะห์เตือนว่าการซื้อขายในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะประสบความผันผวนในสัปดาห์นี้ โดยได้รับผลกระทบจากการดีเบต ซึ่งหากทรัมป์มีคะแนนนำในการดีเบตดังกล่าว ก็จะส่งผลให้หุ้นในกลุ่มเชื้อเพลิงฟอสซิล และบริษัทผลิตอาวุธดีดตัวขึ้น และหากไบเดนมีคะแนนนำในการดีเบต ก็จะทำให้หุ้นในกลุ่มที่มีการค้าทั่วโลก และกลุ่มพลังงานหมุนเวียนปรับตัวขึ้น

การดีเบตในสัปดาห์นี้จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ เวลา 21.00 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือตรงกับเช้าวันพุธ เวลา 08.00 น.ตามเวลาไทย โดยจะมีการถ่ายทอดสดไปทั่วโลกผ่านทางสถานีโทรทัศน์ CNN และการดีเบตจะใช้เวลารวม 90 นาที ซึ่งผู้เข้าดีเบตจะต้องแสดงวิสัยทัศน์ใน 6 หัวข้อ ได้แก่ ประวัติของทรัมป์และไบเดน, ศาลฏีกาสหรัฐ, โควิด-19, เศรษฐกิจ, เชื้อชาติและความรุนแรงในเมืองต่างๆของสหรัฐ รวมทั้งความบริสุทธิ์ยุติธรรมของการเลือกตั้ง โดยแต่ละหัวข้อจะใช้เวลาอภิปราย 15 นาที

สำหรับการดีเบตรอบแรกนี้ ตัวแทนของทรัมป์และไบเดนเห็นพ้องกันว่าผู้อภิปรายทั้งสองจะไม่มีการจับมือทักทายกันก่อนการดีเบตตามธรรมเนียมปฏิบัติแต่อย่างใด อันเนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในขณะนี้ รวมทั้งจะไม่มีการเอาข้อศอกชนกันด้วย ส่วนการยืนบนเวทีนั้น ทั้งสองฝ่ายตกลงกันว่า ทรัมป์จะใช้โพเดียมฝั่งขวาของเวที ส่วนไบเดนจะใช้โพเดียมฝั่งซ้าย และผู้เข้าชมการดีเบตจะถูกจำกัดเหลือเพียง 60-70 คน จากเดิมที่มีจำนวน 900-1,200 คน และทุกคนจะต้องมีผลการตรวจหาเชื้อโควิด-19 เป็นลบ

ส่วนในวันที่ 7 ต.ค.จะเป็นการดีเบตกันระหว่างนายไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรครีพับลิกัน และนางคามาลา แฮร์ริส ผู้ท้าชิงจากพรรคเดโมแครต

นอกจากนี้ วันที่ 15 ต.ค.จะเป็นการดีเบตรอบ 2 ระหว่างทรัมป์และไบเดน ส่วนการดีเบตรอบ 3 ซึ่งเป็นรอบสุดท้ายของทั้ง 2 คนจะมีขึ้นในวันที่ 22 ต.ค. เพื่อให้ชาวอเมริกันทำการตัดสินใจครั้งสุดท้ายก่อนไปหย่อนบัตรลงหีบเลือกตั้งในวันที่ 3 พ.ย.

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ทรัมป์เสียเปรียบไบเดนทั้งในเรื่องของเศรษฐกิจสหรัฐที่ย่ำแย่ และเรื่องโควิด-19 ที่ผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตยังคงพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งดูเหมือนทรัมป์ก็รู้ตัวว่าเพลี่ยงพล้ำในประเด็นดังกล่าว

ล่าสุด ทรัมป์ปฏิเสธที่จะรับปากว่า การถ่ายโอนอำนาจจะเป็นไปอย่างราบรื่น หากเขาพ่ายแพ้การเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนพ.ย. โดยทรัมป์คัดค้านการลงคะแนนเสียงผ่านทางระบบไปรษณีย์ ซึ่งเขาอ้างว่ามีการโกงกันได้ง่าย

ขณะนี้ผลสำรวจของสำนักโพลล์ต่างๆล้วนฟันธงว่าไบเดนกำลังมีคะแนนนำทรัมป์ แต่การที่สหรัฐตัดสินผู้ชนะจากคะแนนของคณะผู้เลือกตั้ง (electoral vote) ไม่ใช่คะแนนดิบจากผู้ลงคะแนนทั่วประเทศ (popular vote) ก็อาจทำให้ทรัมป์สร้างปาฏิหาริย์ได้อีกครั้งเหมือนที่เคยทำไว้เมื่อ 4 ปีที่แล้ว

มีการคาดการณ์ว่า ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะทรุดตัวลง หากไบเดนคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 3 พ.ย. แต่ตลาดจะขานรับชัยชนะของทรัมป์ จากการที่ไบเดนมีนโยบายเพิ่มภาษีคนรวยเพื่อช่วยคนจน โดยเขาจะยกเลิกมาตรการปรับลดอัตราภาษีของทรัมป์ ด้วยการปรับขึ้นอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสู่ระดับ 28% จากเดิมที่ทรัมป์ปรับลดจาก 35% สู่ระดับ 21% ในปัจจุบัน นอกจากนี้ ไบเดนจะปรับเพิ่มภาษีของครัวเรือนที่มีรายได้มากกว่า 400,000 ดอลลาร์ต่อปี โดยมีการคาดการณ์ว่าการปรับขึ้นภาษีดังกล่าวจะช่วยให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้น 4 ล้านล้านดอลลาร์ภายในเวลา 10 ปี ขณะที่ไบเดนเปิดเผยว่าเขาจะเพิ่มการลดหย่อนภาษีสำหรับชนชั้นกลาง และให้เงินอุดหนุนภาษีสำหรับการเลี้ยงดูบุตรมากขึ้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ