ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (30 ต.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนในยุโรป แต่ตลาดยังคงปรับตัวลงมากที่สุดในรอบสัปดาห์นี้และในรอบเดือนต.ค.นับตั้งแต่ถูกเทขายอย่างหนักในเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากนักลงทุนวิตกว่าการล็อกดาวน์ครั้งใหม่เพื่อควบคุมโรคโควิด-19 จะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวขึ้น 0.18% ปิดที่ 342.36 จุด
ดัชนี CAC 40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,594.24 จุด เพิ่มขึ้น 24.57 จุด หรือ +0.54% ขณะที่ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 11,556.48 จุด ลดลง 41.59 จุด หรือ +0.36%, และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 5,577.27 จุด ลดลง 4.48 จุด หรือ -0.08%
ตลาดได้แรงหนุน หลังหุ้นของบริษัทพลังงานและธนาคารปรับตัวขึ้นขานรับการเปิดเผยผลประกอบการที่สดใส
ข้อมูลเศรษฐกิจที่บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจยูโรโซนดีดตัวขึ้นแข็งแกร่งกว่าคาดนั้นได้ช่วยหนุนตลาด แต่ตลาดปรับตัวขึ้นได้ไม่มากนัก เนื่องจากนักลงทุนวิตกว่า การดำเนินมาตรการล็อกดาวน์ในหลายๆ ประเทศเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นั้น อาจกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
สำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป (ยูโรสแตท) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจยูโรโซนขยายตัว 12.7% ในไตรมาส 3 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 9.4% หลังจากหดตัว 11.8% ในไตรมาส 2
นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดว่า ECB จะผ่อนคลายนโยบายในเดือนธ.ค.เพื่อช่วยหนุนเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิดระบาด
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของยุโรปร่วงตามหุ้นกลุ่มเดียวกันในตลาดสหรัฐ โดยหุ้น ASM ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์ของแอปเปิล, หุ้นไดอาล็อก เซมิคอนดักเตอร์ และหุ้นเอสทีไมโครอิเล็กทรอนิกส์ ร่วงลงราว 1.2-1.7% หลังความล่าช้าในการเปิดตัว iPhone ระบบ 5G ที่ล่าช้าทำให้ลูกค้าชะลอการซื้อสมาร์ทโฟนใหม่
หุ้นโททาลของฝรั่งเศส ปรับตัวขึ้น 2.8% หลังเปิดเผยว่าบริษัทจะยังคงจ่ายเงินปันผล แม้ผลกำไรสุทธิไตรมาส3 ร่วงลงอย่างรุนแรงก็ตาม