ตลาดหุ้นยุโรปปิดลดลงเมื่อคืนนี้ (19 พ.ค.) โดยปรับตัวลงมากที่สุดในรอบ 1 สัปดาห์ เนื่องจากนักลงทุนมีความวิตกเกี่ยวกับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจจะทำให้มีการคุมเข้มนโยบายการเงินตามมาเร็วขึ้น
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดตลาดที่ระดับ 436.34 จุด ลดลง 6.70 จุด หรือ -1.51%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,262.55 จุด ลดลง 91.12 จุด หรือ -1.43%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,113.56 จุด ลดลง 273.02 จุด หรือ -1.77% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,950.20 จุด ลดลง 84.04 จุด หรือ -1.19%
ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลงตามทิศทางตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปรับตัวลงด้วย โดยหุ้นกลุ่มเหมืองแร่, กลุ่มเดินทาง และกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวลงมากที่สุด
บรรดานักลงทุนวิตกเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อ หลังอังกฤษเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าในเดือนเม.ย. หลังจากค่าไฟและก๊าซ รวมถึงราคาเสื้อผ้าและรองเท้าปรับตัวขึ้น
บรรดาผู้กำหนดนโยบายของธนาคารกลางคาดว่า การพุ่งขึ้นของอัตราเงินเฟ้อเป็นเพียงชั่วคราว แต่นักลงทุนวิตกว่าการปรับตัวขึ้นของราคาสินค้าอาจจะเป็นไปในระยะยาว ซึ่งจะกดดันให้ธนาคารกลางเร่งคุมเข้มนโยบายการเงิน
ด้านนางคริสติน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรปเปิดเผยในวันอังคารว่า เป็นเรื่องจำเป็นที่จะยังไม่ถอนการสนับสนุนด้านการเงินและการคลังเร็วเกินไป
บรรดานักลงทุนจะจับตาสัญญาณเกี่ยวกับเงินเฟ้อจากรายงานการประชุมครั้งล่าสุดที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเปิดเผยในวันพุธนี้
หุ้นชิปเผชิญแรงกดดัน โดยหุ้นเอเอสเอ็ม อินเตอร์เนชันแนล, หุ้นเอเอสเอ็มแอล และหุ้นอินฟิเนียน เทคโนโลยีส์ ปรับตัวลงมากกว่า 2% จากความวิตกเกี่ยวกับการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก
หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวลงน้อยที่สุด เนื่องจากยังคงได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลยูโรโซน