ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงกว่า 100 จุดในวันนี้ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน รวมทั้งความวิตกว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเร่งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดการพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อ
นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากการเปิดเผยยอดค้าปลีกที่ต่ำกว่าคาดในเดือนพ.ย.
ณ เวลา 21.52 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 35,408.55 จุด ลบ 135.63 จุด หรือ 0.38%
หุ้นกลุ่มพลังงานดิ่งลงนำตลาดตามการร่วงลงของราคาน้ำมัน
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยวานนี้ว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) พุ่งขึ้น 9.6% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ที่มีการรวบรวมข้อมูลดังกล่าวในเดือนพ.ย.2553 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 9.2% หลังจากดีดตัวขึ้น 8.8% ในเดือนต.ค.
ก่อนหน้านี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) พุ่งขึ้น 6.8% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.2525 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 6.7%
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้นเพียง 0.3% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.8% หลังจากพุ่งขึ้น 1.8% ในเดือนต.ค.
ส่วนยอดค้าปลีกพื้นฐาน ซึ่งไม่รวมยอดขายรถยนต์ น้ำมัน วัสดุก่อสร้าง และอาหาร ลดลง 0.1% ในเดือนพ.ย. หลังจากพุ่งขึ้น 1.8% ในเดือนต.ค.
องค์การอนามัยโลก (WHO) เปิดเผยว่า หลักฐานเบื้องต้นบ่งชี้ว่า วัคซีนต้านโควิด-19 อาจมีประสิทธิภาพลดลงในการป้องกันการติดเชื้อและการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน
WHO ระบุว่า ความเสี่ยงจากไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนยังคงอยู่ในระดับที่สูงมาก และจำเป็นต้องมีข้อมูลมากขึ้นเพื่อทำความเข้าใจต่อความสามารถของไวรัสดังกล่าวในการหลบหลีกภูมิต้านทานของร่างกายที่ได้รับจากการฉีดวัคซีน หรือจากการที่ร่างกายเคยได้รับเชื้อมาก่อน
ทางด้านนายแพทย์ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่ของ WHO กล่าวว่า ไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนกำลังแพร่ระบาดในอัตราที่รวดเร็วกว่าไวรัสสายพันธุ์อื่น และมีแนวโน้มที่จะระบาดไปยังทุกประเทศทั่วโลก
สำนักข่าว CNBC เปิดเผยผลสำรวจนักวิเคราะห์เกี่ยวกับผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในคืนนี้ โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า เฟดจะมีมติเร่งการปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) เป็นเดือนละ 30,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 2 เท่าจากเดิมเดือนละ 15,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจะส่งผลให้เฟดยุติการทำ QE ในเดือนมี.ค.2565
ผลสำรวจยังระบุว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมิ.ย.2565 ซึ่งจะเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในเดือนมี.ค.2563
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งทั้งในปี 2565 และ 2566 ซึ่งจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นแตะระดับ 1.50% ภายในสิ้นปี 2566 จากระดับ 0.00-0.25% ในปัจจุบัน และเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปจนถึงระดับ 2.30% ภายในเดือนพ.ค.2567