สตาร์บัคส์ (Starbucks) รายงานผลประกอบการไตรมาส 3/2568 ที่มีทั้งข่าวดีและข่าวร้าย โดยมีรายได้สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ แต่กำไรกลับต่ำกว่าเป้า ขณะที่ยอดขายจากสาขาเดิมยังคงหดตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 6 สะท้อนความท้าทายที่บริษัทยังคงเผชิญแม้จะอยู่ระหว่างการดำเนินแผนฟื้นฟูกิจการครั้งใหญ่ "Back to Starbucks" อย่างไรก็ตาม ข่าวดังกล่าวส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น 3.8% ในการซื้อขายนอกเวลาทำการเมื่อวานนี้ (29 ก.ค.)
รายได้สุทธิของบริษัทในไตรมาสสิ้นสุดวันที่ 29 มิ.ย. เพิ่มขึ้น 3.8% เป็น 9.46 พันล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 9.31 พันล้านดอลลาร์ โดยได้แรงหนุนหลักจากตลาดจีนที่ยอดขายสาขาเดิมเติบโต 2% แต่ในทางกลับกัน ยอดขายสาขาเดิมโดยรวมทั่วโลกกลับลดลง 2% ซึ่งแย่กว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 1.19% ขณะที่กำไรต่อหุ้นแบบปรับปรุงแล้วอยู่ที่ 50 เซนต์ ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 65 เซนต์
ภายใต้การนำของซีอีโอไบรอัน นิคโคล บริษัทกำลังเดินหน้าแผน "Back to Starbucks" เพื่อพลิกฟื้นธุรกิจหลังยอดขายตกต่ำมาหลายไตรมาส โดยมุ่งเน้นการปรับเมนูให้เรียบง่าย บริการที่รวดเร็วขึ้น และปรับปรุงบรรยากาศร้าน นิคโคลระบุว่าแผนฟื้นฟูกำลัง "คืบหน้าไปไกลกว่าที่คาด" โดยเตรียมปรับโฉมร้านค้า 1,000 แห่งในอเมริกาเหนือภายในสิ้นปี 2569 และทดลองโมเดล "ร้านกาแฟแห่งอนาคต" ที่มีต้นทุนต่ำลง
สาเหตุที่กำไรต่ำกว่าเป้ามาจากค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นในการดำเนินแผนฟื้นฟู ซึ่งรวมถึงการอัดฉีดงบกว่า 500 ล้านดอลลาร์เพื่อเพิ่มชั่วโมงการทำงานของพนักงานในสหรัฐฯ และค่าใช้จ่ายในการจัดงานประชุมใหญ่ที่ลาสเวกัสสำหรับผู้จัดการร้านกว่า 14,000 คน ซึ่งส่งผลให้อัตรากำไรจากการดำเนินงานหดตัวลงเหลือ 10.1%
แม้ยอดขายในจีนจะกลับมาเป็นบวก แต่สตาร์บัคส์ยังเผชิญการแข่งขันรุนแรงจากคู่แข่งท้องถิ่นอย่าง ลัคอิน คอฟฟี่ (Luckin Coffee) และ คอตติ คอฟฟี่ (Cotti Coffee) จนต้องประกาศลดราคาเครื่องดื่มบางรายการเมื่อเดือนที่แล้ว
ขณะเดียวกัน บริษัทกำลังพิจารณาทางเลือกต่าง ๆ สำหรับธุรกิจในจีน ทั้งการหาพันธมิตรเชิงกลยุทธ์และการร่วมทุน (joint venture) ซึ่งมีรายงานว่าอาจมีมูลค่าสูงถึง 1 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยผู้บริหารเผยว่ามีผู้สนใจแล้วกว่า 20 ราย และบริษัทตั้งเป้าจะยังคง "สัดส่วนการถือหุ้นที่มีนัยสำคัญ" ต่อไป