กองทุนเฮดจ์ฟันด์ยังคงลังเลที่จะเข้าซื้อหุ้นสหรัฐฯ ในช่วงต้นเดือนก.ย. ซึ่งมักเป็นเดือนที่ตลาดไม่สดใส แม้มีความคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ย หลังจากที่กองทุนเหล่านี้ขายสุทธิหุ้นในเดือนส.ค. และข้อมูลของ Lipper ยังระบุว่า นักลงทุนทั่วไปก็ขายหุ้นมากกว่าที่ซื้อเช่นกัน
แม้ดัชนีหุ้นโลกของ MSCI และดัชนี S&P500 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อยู่ใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่ตลาดยังมีความเปราะบางต่อแรงขายอย่างรุนแรง ขณะที่กองทุนเฮดจ์ฟันด์ส่วนใหญ่ไม่ได้เข้าร่วมในการปรับตัวขึ้นล่าสุดของตลาด เนื่องจากยังคงมีความระมัดระวังในการลงทุน
ข้อมูลของ Goldman Sachs ระบุว่า การกู้ยืมเงินเพื่อซื้อหุ้นของกองทุนเฮดจ์ฟันด์ลดลงอีกครั้งในช่วงปลายเดือนส.ค. หลังจากลดลงอย่างมากก่อนหน้านี้ แม้ดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้นเกือบ 2% ในเดือนส.ค. และดัชนีหุ้นโลก MSCI ใกล้ระดับสูงสุด แต่กองทุนเฮดจ์ฟันด์ยังคงขายหุ้นต่อไป Morgan Stanley ระบุว่าการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อหุ้นลดลง 1% ในสหรัฐฯ และยุโรปในสัปดาห์ก่อน แสดงให้เห็นว่าการซื้อขายของกองทุนเฮดจ์ฟันด์ยังคงชะลอตัว
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มักให้ผลตอบแทนติดลบในเดือนก.ย. ประมาณครึ่งหนึ่งของช่วง 20 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ บริษัทต่าง ๆ ยังมีข้อจำกัดทางกฎหมายไม่สามารถซื้อหุ้นคืนในเดือนนี้ นักวิเคราะห์จาก Erlen Capital Management ชี้ว่าขีดจำกัดความเสี่ยงของกองทุนเฮดจ์ฟันด์เชิงระบบอัตโนมัติอาจทำให้พวกเขาไม่สามารถซื้อหุ้นในช่วงราคาลดลงได้ตามปกติ โดยฤดูใบไม้ร่วงมักทำให้ความผันผวนเพิ่มขึ้นและกลยุทธ์เชิงระบบอัตโนมัติอยู่ในระดับสูง ตลาดจึงมีความสามารถในการดูดซับแรงขายน้อยกว่าปกติ
นักวิเคราะห์ของ Porchester Capital ชี้ว่า การลดดอกเบี้ยของเฟดในเดือนก.ย. จะไม่ทำให้เกิดแรงเทขายหุ้นรุนแรงมาก แต่ความเปราะบางอาจเกิดจากตลาดอื่น การขายพันธบัตรรัฐบาลทำให้อัตราผลตอบแทนของญี่ปุ่นและอังกฤษแตะระดับสูงสุดในรอบหลายปี ซึ่งหากเกิดวิกฤติในตลาดหนึ่ง มักจะลุกลามไปตลาดอื่น โดยในเดือนส.ค. 2567 การเทขายหุ้นทั่วโลกครั้งใหญ่เกิดจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเหนือความคาดหมายของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) โดยในปัจจุบันอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นอายุ 30 ปีอยู่ใกล้ระดับสูงสุดเกิน 3%
ผู้ถือหุ้นสหรัฐฯ ถือหุ้นโดยตรงมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาเทียบกับรายได้ คาดว่าในปี 2568 การถือหุ้นโดยตรงของนักลงทุนรายย่อยจะสูงถึง 265% ของรายได้หลังหักภาษี เทียบกับ 243% ในปี 2564 โดยนักลงทุนกลุ่มนี้คิดเป็นสัดส่วนกว่า 40% ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ หากเศรษฐกิจชะลอตัวรุนแรง นักลงทุนรายย่อยอาจลดการลงทุนเชิงเก็งกำไร ทำให้เกิดวงจรการขายหุ้นอย่างต่อเนื่อง โดยนักลงทุนรายย่อยลงทุนมากพอที่จะช่วยให้ตลาดขึ้นต่อ แต่ก็ทำให้ตลาดเปราะบาง หากแรงขายเกิดขึ้นพร้อมกัน ราคาหุ้นอาจปรับตัวลงอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกัน หุ้นจีนยังได้รับเงินทุนไหลเข้าระดับสูงสุดในเดือนส.ค. โดยข้อมูลจาก Goldman Sachs ระบุว่า เดือนส.ค. อาจเป็นเดือนที่กองทุนเฮดจ์ฟันด์ซื้อหุ้นจีนมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. ขณะที่ Morgan Stanley เปิดเผยว่า เดือนส.ค.เป็นเดือนที่มีกิจกรรมการซื้อหุ้นจีนสูงที่สุดสำหรับกองทุนเฮดจ์ฟันด์