"ไมเคิล เบอร์รี" ตำนาน The Big Short ประกาศปิดกองทุนเฮดจ์ฟันด์ Scion

ข่าวต่างประเทศ Friday November 14, 2025 10:34 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ไมเคิล เบอร์รี นักลงทุนผู้สร้างชื่อจากการเดิมพันสวนทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐฯ ในปี 2551 และวีรกรรมของเขาได้รับการถ่ายทอดผ่านภาพยนตร์เรื่อง "The Big Short" นั้น กำลังเตรียมปิดฉากกองทุนเฮดจ์ฟันด์ของเขา ซึ่งได้แก่กองทุนไซออน แอสเซท แมเนจเมนต์ (Scion Asset Management)

เบอร์รีได้แจ้งความจำนงผ่านจดหมายที่ส่งถึงบรรดานักลงทุนเมื่อวันที่ 27 ต.ค. ว่า เขาจะดำเนินการชำระบัญชีและส่งมอบเงินทุนคืนแก่นักลงทุนภายในสิ้นปีนี้ เว้นแต่เพียง "เงินสำรองจำนวนเล็กน้อยสำหรับค่าตรวจสอบบัญชี/ภาษี"

"การประเมินมูลค่าหลักทรัพย์ของผมในปัจจุบัน และในช่วงระยะเวลาหนึ่งที่ผ่านมา ไม่ได้สอดคล้องกับสภาวะของตลาด" จดหมายของเบอร์รีระบุ

ฐานข้อมูลของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) แห่งสหรัฐฯ แสดงให้เห็นว่าสถานะการจดทะเบียนของไซออนปรากฏเป็น "สิ้นสุดแล้ว" (Terminated) ตั้งแต่วันที่ 10 พ.ย. การเพิกถอนทะเบียนนี้ย่อมหมายความว่ากองทุนไม่จำเป็นต้องยื่นรายงานต่อหน่วยงานกำกับดูแลของรัฐบาลกลางหรือของมลรัฐอีกต่อไป

ทั้งนี้ ตามข้อบังคับ กองทุนเพื่อการลงทุนซึ่งบริหารสินทรัพย์มูลค่าเกินกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ต้องจดทะเบียนกับ SEC

การเดิมพันแต่ละครั้งของไซออน ซึ่ง ณ เดือนมี.ค. บริหารสินทรัพย์อยู่ 155 ล้านดอลลาร์นั้น ล้วนเป็นที่จับตาอย่างใกล้ชิดเสมอมา ในฐานะเครื่องชี้วัดภาวะฟองสบู่ที่อาจก่อตัวขึ้นและสัญญาณความร้อนแรงของตลาด

ในโพสต์บนเอ็กซ์เมื่อวันพุธ (12 พ.ย.) เบอร์รีกล่าวว่า "มุ่งหน้าสู่สิ่งที่ดียิ่งกว่า 25 พ.ย.นี้"

ในช่วงไม่กี่สัปดาห์มานี้ เบอร์รีได้ทวีความรุนแรงในการวิพากษ์วิจารณ์บรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี อาทิ Nvidia และ Palantir Technologies โดยตั้งคำถามถึงการเติบโตของโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ พร้อมทั้งกล่าวหาว่าบรรดาผู้ให้บริการรายใหญ่กำลังใช้กลวิธีทางบัญชีเชิงรุก เพื่อตกแต่งตัวเลขผลกำไรจากการลงทุนด้านฮาร์ดแวร์มูลค่ามหาศาลให้ดูสูงเกินจริง

เบอร์รีเปิดเผยในโพสต์บนเอ็กซ์ว่า เขาได้ทุ่มเงินราว 9.2 ล้านดอลลาร์ เพื่อเข้าซื้อ "put option" (สิทธิในการขายหุ้นที่ราคาและเวลาที่กำหนด โดยคาดการณ์ว่าราคาหุ้นจะตก) ของหุ้น Palantir จำนวน 50,000 สัญญา ซึ่งจะทำให้เขามีสิทธิ์ขายหุ้นดังกล่าวได้ในราคา 50 ดอลลาร์ต่อหุ้นในปี 2570

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (13 พ.ย.) หุ้นของ Palantir ปิดที่ราคา 178.29 ดอลลาร์ ส่งผลให้บริษัทมีมูลค่าตลาดสูงถึง 4.22 แสนล้านดอลลาร์

เมื่อเดือนก่อน เบอร์รีได้โพสต์ภาพตัวละครของเขาจากภาพยนตร์ "The Big Short" พร้อมคำเตือนถึงภาวะฟองสบู่ ความว่า "บางครั้ง หนทางเดียวที่จะเป็นผู้ชนะ คือการไม่ลงเล่นในเกมนั้นเลย"

"การตัดสินใจของเบอร์รีครั้งนี้ ไม่น่าใช่ 'การยกธงขาว' แต่เป็นการถอยฉากออกจากเกมที่เขาเชื่อว่าถูกวางกลโกงไว้" บรูโน ชเนลเลอร์ กรรมการผู้จัดการของ Erlen Capital Management ให้ความเห็น

เบอร์รีได้ชี้ให้เห็นว่า ขณะที่บริษัทอย่าง Microsoft, Google (ในเครือ Alphabet), Oracle และ Meta ทุ่มเม็ดเงินหลายพันล้านดอลลาร์ไปกับชิปและเซิร์ฟเวอร์ของ Nvidia พวกเขาก็ค่อย ๆ ใช้วิธีทยอยยืดอายุการใช้งานของสินทรัพย์เพื่อขยายเวลาการตัดค่าเสื่อมราคาออกไป อันจะส่งผลให้ตัวเลขผลกำไรดูดีเกินจริง

เบอร์รีประเมินว่า ในช่วงปี 2569-2571 กลวิธีทางบัญชีเหล่านี้อาจทำให้ค่าเสื่อมราคาถูกบันทึกต่ำกว่าความเป็นจริงไปราว 1.76 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งจะทำให้กำไรที่ปรากฏในรายงานของทั้งอุตสาหกรรมสูงกว่าที่ควรจะเป็น

"อย่าเพิ่งสรุปว่าเรื่องราวของเขาจบลงแล้ว เขาอาจเพียงหายหน้าหายตาจากสาธารณะไปสักระยะ และอาจปรับเปลี่ยนโครงสร้างไปสู่การเป็น 'สำนักงานครอบครัว' เพื่อบริหารสินทรัพย์ส่วนตนต่อไป" ชเนลเลอร์กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ