ไมเคิล เบอร์รี นักลงทุนผู้สร้างชื่อจากการเดิมพันสวนทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐฯ ในปี 2551 และวีรกรรมของเขาได้รับการถ่ายทอดผ่านภาพยนตร์เรื่อง "The Big Short" นั้น เปิดเผยเมื่อวันจันทร์ (8 ธ.ค.) ว่า เขาเข้าสะสมหุ้นแฟนนี เม (Fannie Mae) และเฟรดดี แมค (Freddie Mac) จำนวนมาก เนื่องจากมั่นใจว่ามูลค่าหุ้นของสองยักษ์ใหญ่สินเชื่อบ้านสหรัฐฯ จะพุ่งสูงขึ้น หากมีการนำกลับเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (IPO) อีกครั้ง
เบอร์รีประเมินผ่านจดหมายข่าว "Cassandra Unchained" บน Substack ว่า ราคา IPO ของทั้งสองบริษัทน่าจะอยู่ที่ประมาณ 1 ถึง 1.25 เท่าของมูลค่าทางบัญชี และภายใน 1-2 ปีหลังเข้าตลาด ราคาหุ้นมีโอกาสขยับขึ้นไปซื้อขายที่ระดับ 1.5 ถึง 2 เท่าของมูลค่าทางบัญชี
"เมื่อ IPO แล้ว ทั้งสองบริษัทจะหลุดจากกรอบจำกัดด้านเงินทุน ผมคาดว่าธุรกิจจะโตเร็วขึ้นตามกลไกธรรมชาติ" เบอร์รีระบุนอกจากนี้ เบอร์รียังมองว่าคงไม่ใช่เรื่องแปลกหากเบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์ (Berkshire Hathaway) จะเข้าซื้อหุ้นลอตใหญ่ในช่วง IPO เนื่องจากเบิร์กเชียร์เคยลงทุนในธุรกิจสินเชื่อบ้านและเคยถือหุ้นแฟนนี เม มาก่อนที่จะขายออกไป
มุมมองของเบอร์รีสอดคล้องกับรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์เมื่อเดือนส.ค. ที่คาดการณ์ว่า รัฐบาลสหรัฐฯ เตรียมผลักดันให้ทั้งสองบริษัททำ IPO ในช่วงปลายปีนี้
เบอร์รีให้เหตุผลว่า แฟนนี เม และเฟรดดี แมค ยังเป็นหัวใจสำคัญของตลาดอสังหาฯ ของสหรัฐฯ โดยครองส่วนแบ่งสินเชื่อบ้านคงค้างถึง 62% และค้ำจุนสินเชื่อธนาคารที่ผ่านเกณฑ์ (Conforming Bank Loans) ไว้อีกราว 70%
สำหรับแฟนนี เม และเฟรดดี แมค นั้น สภาคองเกรสจัดตั้งขึ้นเพื่อช่วยให้คนอเมริกันเข้าถึงสินเชื่อบ้านได้ง่ายขึ้น โดยทำหน้าที่รับซื้อสินเชื่อจากผู้ปล่อยกู้มาบริหารหรือมัดรวมขายเป็นหลักทรัพย์ (MBS) เพื่อนำเงินกลับมาหมุนเวียนในระบบ แต่หลังจากประสบปัญหาสภาพคล่องอย่างหนักในช่วงวิกฤตการเงินปี 2551 รัฐบาลกลางจึงต้องเข้ามาควบคุมกิจการนับแต่นั้นเป็นต้นมา