บริษัทฟอร์ด มอเตอร์ (Ford Motor) ประกาศเตรียมบันทึกค่าใช้จ่ายทางบัญชีสูงถึง 1.95 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการด้อยค่าของสินทรัพย์และการลดมูลค่าทางบัญชีที่เกี่ยวข้องกับการปรับโครงสร้างธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ครั้งใหญ่ โดยฟอร์ดตัดสินใจยกเลิกการผลิตรถกระบะไฟฟ้าบางรุ่นและชะลอการลงทุนในโครงการที่เกี่ยวข้อง เพื่อตอบสนองต่ออุปสงค์ในตลาด EV ที่ชะลอตัวลง รวมถึงการเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายภายใต้รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางอุตสาหกรรมยานยนต์สหรัฐฯ
ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ใหม่นี้ ฟอร์ดจะยกเลิกโครงการผลิตรถกระบะ F-Series ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า หรือโมเดลที่มีรหัสโครงการว่า T3 รวมถึงยุติแผนการผลิตรถตู้ไฟฟ้าสำหรับการพาณิชย์
นอกจากนี้ บริษัทจะปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิตรถกระบะรุ่น F-150 Lightning จากเดิมที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้าล้วน (BEV) ให้กลายเป็น "รถยนต์ไฟฟ้าแบบขยายระยะทาง" (Extended-Range Electric Vehicle หรือ EREV) ซึ่งใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในช่วยในการผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อขยายระยะทางการขับขี่
การปรับเปลี่ยนดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงการยอมรับของฝ่ายบริหารว่า การทุ่มเงินลงทุนในรถยนต์ไฟฟ้าขนาดใหญ่นั้นเป็นทิศทางที่ไม่สามารถสร้างผลกำไรได้ท่ามกลางสถานการณ์ปัจจุบัน
จิม ฟาร์ลีย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของฟอร์ดระบุว่า ความเปลี่ยนแปลงของตลาดในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเป็นปัจจัยเร่งให้บริษัทต้องตัดสินใจปรับลดบทบาทในตลาด EV และหันมามุ่งเน้นรถยนต์ระบบไฮบริด (Hybrid) มากขึ้น
ฟาร์ลีย์ชี้ว่า นโยบายของทรัมป์ที่ยกเลิกมาตรการสนับสนุนและสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าของรัฐบาลชุดก่อน จะยิ่งซ้ำเติมความท้าทายในการทำกำไรของธุรกิจ EV ดังนั้น ฟอร์ดจึงจำเป็นต้องปรับลดกำลังการผลิตแบตเตอรี่ที่สร้างไว้เกินความต้องการ โดยจะระงับการผลิตที่โรงงานในเมืองเกลนเดล รัฐเคนทักกี ชั่วคราว เพื่อปรับปรุงสายการผลิตให้รองรับระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) สำหรับโครงข่ายไฟฟ้าแทน ซึ่งเป็นตลาดที่มีความต้องการสูงจากการขยายตัวของศูนย์ข้อมูล
ในด้านสถานะทางการเงิน ฟอร์ดคาดว่าจะรับรู้ค่าใช้จ่ายพิเศษส่วนใหญ่ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2568 และบางส่วนต่อเนื่องไปจนถึงปี 2570
แม้จะมีภาระค่าใช้จ่ายจำนวนมาก แต่บริษัทได้ปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษี (EBIT) สำหรับปี 2568 ขึ้นสู่ระดับ 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ในช่วง 6-6.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากความคืบหน้าในการลดต้นทุนและการปรับสัดส่วนการขายไปยังรถยนต์รุ่นที่ทำกำไรได้สูงกว่า เช่น รถกระบะเครื่องยนต์สันดาปและรถยนต์ไฮบริด
แอนดรูว์ ฟริก ผู้บริหารสูงสุดของหน่วยธุรกิจรถเครื่องยนต์สันดาปและรถยนต์ไฮบริดคาดการณ์ว่า การปรับโครงสร้างครั้งนี้จะช่วยให้ธุรกิจ EV ของฟอร์ดพลิกกลับมาทำกำไรได้ภายในปี 2572
อย่างไรก็ตาม ฟอร์ดยังคงเดินหน้าแผนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าขนาดกลางราคาประหยัด เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันกับผู้ผลิตจากประเทศจีน โดยมีแผนจะเริ่มวางจำหน่ายในปี 2570 ในราคาเริ่มต้นประมาณ 30,000 ดอลลาร์สหรัฐ โดยจะประกอบรถรุ่นดังกล่าวที่โรงงานในเมืองหลุยส์วิลล์ ส่วนโรงงานในเมืองมาร์แชล รัฐมิชิแกน จะทำหน้าที่ผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนฟอสเฟต (LFP) สำหรับรถรุ่นนี้
ทั้งนี้ ฟอร์ดตั้งเป้าหมายระยะยาวว่า ภายในปี 2573 สัดส่วนยอดขายทั่วโลก 50% จะมาจากกลุ่มรถยนต์ไฮบริด รถยนต์ไฟฟ้าแบบขยายระยะทาง และรถยนต์ไฟฟ้าล้วน ซึ่งราคาหุ้นของฟอร์ดปรับตัวขึ้น 1% ในการซื้อขายนอกเวลาทำการขานรับข่าวดังกล่าว