นักวิเคราะห์ระบุว่า ดัชนีดาวโจนส์จะยังคงปรับตัวขึ้นต่อไป หลังจากทะลุหลัก 20,000 จุดในวันนี้ โดยมีแนวโน้มแตะเป้าหมายต่อไปที่ 21,000 จุดในปีนี้
นายเจฟฟ์ ไคล์นท็อป หัวหน้านักวิเคราะห์การลงทุนระดับโลกจากชาร์ลส์ ชวาบ กล่าวว่า "นักลงทุนรายย่อยได้เริ่มเข้าซื้อหุ้นในตลาดอีกครั้ง นับตั้งแต่สิ้นสุดการเลือกตั้ง ซึ่งการทะลุแนวต้าน 20,000 จุด ได้ทำให้นักลงทุนที่เคยอยู่นอกตลาด และถือเงินสดในมือ ต้องกลับเข้าตลาด และการพุ่งขึ้นของดาวโจนส์ยังทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้าตลาด"
"เรามองว่าปีนี้เป็นปีที่ดี เนื่องจากนักลงทุนรายย่อยได้เริ่มซื้อหุ้น ไม่เพียงแต่นักลงทุนสถาบันเท่านั้น" เขากล่าว
ทั้งนี้ ดัชนีดาวโจนส์ใช้เวลา 15 ปี (1972-1987) ในการปรับตัวขึ้นจากระดับ 1,000 ไปสู่ 2,000 จุด และใช้เวลา 4 ปี (1995-1999) ในการปรับตัวขึ้นจากระดับ 5,000 ไปสู่ 10,000 จุด และล่าสุดใช้เวลา 18 ปี (1999-2017) ในการปรับตัวขึ้นจากระดับ 10,000 ไปสู่ 20,000 จุด ขณะที่เพิ่งดีดตัวทะลุระดับ 19,000 จุดเมื่อวันที่ 22 พ.ย.ปีที่แล้ว
ดัชนีดาวโจนส์ได้พุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 17 ครั้งนับตั้งแต่วันเลือกตั้งเมื่อวันที่ 8 พ.ย.ปีที่แล้ว
นายเจเรมีย์ ซิเกล ศาสตราจารย์ด้านการเงินที่มหาวิทยาลัยวอร์ตัน กล่าวว่า "ขณะที่ดาวโจนส์พุ่งแตะระดับ 10,000 จุดในปี 1999 ถือเป็นช่วงที่เกิดภาวะฟองสบู่ครั้งใหญ่ แต่ครั้งนี้ถือว่าสถานการณ์ได้แตกต่างออกไป โดยตลาดได้ปรับตัวอย่างมีเหตุผลมากขึ้น"
นายซิเกลคาดว่าดาวโจนส์จะยังคงอยู่ในช่วงขาขึ้นต่อไป โดยได้แรงหนุนจากการที่ปธน.ทรัมป์ทำตามคำสัญญาในการปรับลดภาษี และผ่อนคลายกฎระเบียบ
"แต่ผมไม่คาดว่าดาวโจนส์จะไปถึงระดับ 21,000 จุด เร็วเหมือนกับที่ไปจาก 19,000 สู่ 20,000 จุด โดยอาจจะต้องใช้เวลา 1 ไตรมาส" เขากล่าว
นักวิเคราะห์ระบุว่า ตลาดอาจจะต้องปรับฐาน หลังแตะระดับ 20,000 จุดในวันนี้ ขณะที่จับตาดูสัญญาณบ่งชี้ความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ และตัวเลขผลประกอบการที่สดใส ก่อนที่จะแตะระดับ 21,000 ในปีนี้