ดอลลาร์แข็งค่าเทียบสกุลเงินหลักในวันนี้ แต่มีแนวโน้มปรับตัวลงเป็นเดือนที่ 5 ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับนโยบายการค้า และการขาดดุลงบประมาณของสหรัฐ
ณ เวลา 20.15 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน บวก 0.17% สู่ระดับ 99.44 ขณะที่ดอลลาร์แข็งค่า 0.24% สู่ระดับ 1.134 เทียบยูโร และปรับตัวลง 0.3% สู่ระดับ 143.75 เยน
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โพสต์ข้อความใน Truth Social กล่าวหาจีนว่าได้ละเมิดข้อตกลงการค้าเบื้องต้นกับทางสหรัฐ
คำกล่าวหาของปธน.ทรัมป์ดังกล่าวมีขึ้นเพียง 1 วัน หลังจากที่นายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ กล่าวว่าการเจรจาการค้ากับจีนประสบภาวะชะงักงัน
ทั้งนี้ นายเบสเซนต์ และนายเจมีสัน กรีเออร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ ได้พบปะกับนายเหอ หลี่เฟิง รองนายกรัฐมนตรีจีน ที่สวิตเซอร์แลนด์ในวันที่ 12 พ.ค. ซึ่งทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องให้มีการปรับลดอัตราภาษีศุลกากรฝ่ายละ 115% เป็นเวลา 90 วัน ส่งผลให้อัตราภาษีของสหรัฐที่เรียกเก็บจากสินค้านำเข้าจากจีน ลดลงสู่ระดับ 30% จากเดิมที่ระดับ 145% ขณะที่อัตราภาษีของจีนที่เรียกเก็บจากสินค้านำเข้าจากสหรัฐ ลดลงสู่ระดับ 10% จากเดิมที่ระดับ 125%
นักลงทุนแสดงความกังวลต่อร่างกฎหมายภาษีและงบประมาณรายจ่ายของปธน.ทรัมป์ ซึ่งผ่านการอนุมัติของสภาผู้แทนราษฎรในเดือนนี้ เนื่องจากร่างกฎหมายดังกล่าวจะทำให้รัฐบาลสหรัฐขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้นราว 4 ล้านล้านดอลลาร์
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลทั่วไป (Headline PCE) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 2.1% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.2% หลังจากปรับตัวขึ้น 2.3% ในเดือนมี.ค.
เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PCE ทั่วไป ปรับตัวขึ้น 0.1% สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลังจากไม่มีการเปลี่ยนแปลงในเดือนมี.ค. หรือปรับตัว 0.0%
ส่วนดัชนี PCE พื้นฐาน (Core PCE) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ ปรับตัวขึ้น 2.5% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายปี สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากระดับ 2.7% ในเดือนมี.ค.
เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PCE พื้นฐาน ปรับตัวขึ้น 0.1% สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากระดับ 0.1% ในเดือนมี.ค.
ทั้งนี้ ดัชนี PCE ถือเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)