สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันศุกร์ (30 พ.ค.) และมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยนญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกในปีนี้ หลังจากนักลงทุนประเมินว่า มาตรการภาษีการค้าอาจยังคงมีอยู่ในบางรูปแบบ แม้ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ จะต้องเผชิญกับการต่อสู้ในศาลเกี่ยวกับอำนาจของเขาในการประกาศใช้มาตรการภาษีดังกล่าวก็ตาม
ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.05% แตะที่ระดับ 99.328
ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงแตะ 143.89 เยนในวันศุกร์ (30 พ.ค.) จาก 144.00 เยนในวันพฤหัสบดี (29 พ.ค.), ดอลลาร์สหรัฐยังคงทรงตัวที่ 0.8224 ฟรังก์สวิส และอ่อนค่าแตะ 1.3718 ดอลลาร์แคนาดา จาก 1.3801 ดอลลาร์แคนาดา
ยูโรอ่อนค่าลงสู่ระดับ 1.1359 ดอลลาร์สหรัฐในวันศุกร์ จาก 1.1375 ดอลลาร์ในวันพฤหัสบดี และเงินปอนด์อังกฤษอ่อนค่าลงสู่ระดับ 1.3468 ดอลลาร์ จาก 1.3498 ดอลลาร์
ศาลอุทธรณ์ของสหรัฐฯ ได้คืนสถานะชั่วคราวให้กับมาตรการเก็บภาษีการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เมื่อวันพฤหัสบดี (29 พ.ค.) หนึ่งวันหลังจากที่ศาลการค้าของสหรัฐฯ ตัดสินว่าทรัมป์ใช้อำนาจเกินขอบเขตในการประกาศภาษีดังกล่าว และสั่งให้ระงับมาตรการเหล่านั้นทันที
แม้ว่ายังไม่ทราบแน่ชัดว่าระดับภาษีที่จะคงอยู่กับประเทศคู่ค้าจะอยู่ที่เท่าใด แต่นักลงทุนคาดว่า มาตรการเก็บภาษีจะยังคงมีอยู่ในบางรูปแบบ
ปีเตอร์ นาวาร์โร ที่ปรึกษาด้านการค้าของทำเนียบขาวกล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีว่า รัฐบาลทรัมป์จะพยายามดำเนินการจัดเก็บภาษีผ่านวิธีการอื่น หากในที่สุดแล้วแพ้คดีความที่เกี่ยวกับนโยบายการค้า
บรรดานักลงทุนมีความกังวลว่าภาษีจะทำให้เศรษฐกิจเติบโตช้าลงและกระตุ้นเงินเฟ้ออีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงที่ระงับการขึ้นภาษีกับจีนและสหภาพยุโรประหว่างที่กำลังเจรจาข้อตกลงการค้านั้น ได้ช่วยลดความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ
นอกจากนี้ ค่าเงินดอลลาร์ฟื้นตัวขึ้นในวันศุกร์ หลังจากทรัมป์กล่าวหาว่า จีนละเมิดข้อตกลงเรื่องภาษีกับสหรัฐฯ โดยก่อนหน้านี้หนึ่งวัน สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ระบุว่า การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนหยุดชะงักเล็กน้อย แต่ต่อมาในวันศุกร์ ทรัมป์กล่าวว่า เขาจะพูดคุยกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน และหวังว่าจะสามารถตกลงกันได้ในประเด็นด้านการค้าและภาษี