ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น หลังแกว่งตัวอยู่ใกล้ระดับต่ำสุดในรอบ 6 สัปดาห์ในวันนี้ (3 มิ.ย.) ท่ามกลางสัญญาณชัดเจนว่าสงครามการค้าที่รัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ก่อขึ้น เริ่มส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างหนัก และบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุน
ณ เวลา 18.26 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ร่วงลงไปแตะระดับ 98.58 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ช่วงปลายเดือนเม.ย. ก่อนจะดีดตัวขึ้นมาได้ 0.5%
ขณะเดียวกัน ดอลลาร์แข็งค่า 0.26% สู่ระดับ 143.075 เทียบเยน ขณะที่เงินยูโรปรับตัวลง 0.44% สู่ระดับ 1.1392 ดอลลาร์ หลังจากที่เพิ่งปรับตัวขึ้นไปแตะระดับสูงสุดในรอบ 6 สัปดาห์ที่ 1.1454 ดอลลาร์ โดยก่อนหน้านี้มีข้อมูลเปิดเผยว่าอัตราเงินเฟ้อในกลุ่มประเทศยูโรโซนชะลอตัวลงต่ำกว่าเป้าหมาย 2% ของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยิ่งเป็นการตอกย้ำการคาดการณ์ว่า ECB อาจตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมในสัปดาห์นี้
แม้ตลาดหุ้นทั่วโลกจะเริ่มฟื้นตัวได้บ้าง หลังเผชิญความผันผวนจากนโยบายขู่ขึ้นภาษีของปธน.ทรัมป์ที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ แต่สกุลเงินดอลลาร์กลับยังคงเผชิญแรงกดดันอย่างหนัก ข้อมูลภาคการผลิตและการจ้างงานที่จะทยอยประกาศออกมาในอีกไม่กี่วันข้างหน้า อาจยิ่งตอกย้ำว่าความไม่แน่นอนทางการค้ากำลังสร้างความเสียหายให้กับประเทศเศรษฐกิจอันดับหนึ่งของโลกมากเพียงใด
สหรัฐฯ เตรียมขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมอีกเท่าตัวเป็น 50% โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันพุธนี้ (4 มิ.ย.) ซึ่งตรงกับวันที่รัฐบาลทรัมป์กำหนดให้ประเทศคู่ค้าต่าง ๆ ยื่นข้อเสนอที่ดีที่สุดในการเจรจาการค้า
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (2 มิ.ย.) เงินดอลลาร์เผชิญแรงเทขายอย่างหนัก หลังข้อมูลชี้ว่าภาคการผลิตของสหรัฐฯ หดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ในเดือนพ.ค. ประกอบกับปัญหาความขัดแย้งด้านภาษีส่งผลให้ซัพพลายเออร์ใช้เวลาในการจัดส่งสินค้านานขึ้น ขณะนี้นักลงทุนกำลังจับตาดูตัวเลขคำสั่งซื้อภาคโรงงานของสหรัฐฯ ที่จะประกาศในวันนี้ ตามด้วยข้อมูลการจ้างงานในช่วงปลายสัปดาห์
แคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว แถลงเมื่อวานนี้ว่า ปธน.ทรัมป์และปธน.สี จิ้นผิง ของจีน น่าจะได้มีโอกาสหารือกันภายในสัปดาห์นี้ ไม่กี่วันหลังจากที่ปธน.ทรัมป์เพิ่งกล่าวหาจีนว่าละเมิดข้อตกลงการค้าเบื้องต้นที่ทั้งสองฝ่ายทำร่วมกันที่กรุงเจนีวา ส่งผลให้จีนออกแถลงการณ์โจมตีกลับ ระบุสหรัฐฯ เป็นฝ่ายที่ไม่ทำตามข้อตกลง พร้อมทั้งประกาศเตรียมตอบโต้แข็งกร้าว
ขณะเดียวกัน ความกังวลเกี่ยวกับสถานะทางการคลังของสหรัฐฯ ก็เป็นอีกปัจจัยที่จุดกระแส "เทขายสินทรัพย์อเมริกา" (Sell America) อย่างกว้างขวางในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ส่งผลให้สินทรัพย์สกุลเงินดอลลาร์ ตั้งแต่หุ้นไปจนถึงพันธบัตรรัฐบาล ปรับตัวลดลง
ประเด็นความกังวลดังกล่าวจะยิ่งถูกจับตามองเป็นพิเศษในสัปดาห์นี้ เมื่อวุฒิสภาสหรัฐฯ เริ่มต้นพิจารณาร่างกฎหมายลดหย่อนภาษีและร่างกฎหมายงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาล ซึ่งคาดการณ์กันว่าจะทำให้หนี้สาธารณะของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้นอีก 3.8 ล้านล้านดอลลาร์ จากปัจจุบันที่อยู่ที่ 36.2 ล้านล้านดอลลาร์ ภายในระยะเวลา 10 ปีข้างหน้า