ดอลลาร์ดีดตัวขึ้นเทียบสกุลเงินหลัก หลังร่วงลงวานนี้ ท่ามกลางความวิตกที่ว่าการปิดหน่วยงานรัฐบาล หรือชัตดาวน์ จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐ
นอกจากนี้ ดอลลาร์ยังถูกกดดันวานนี้ หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนทรุดหนักในเดือนก.ย. ซึ่งสร้างความกังวลเกี่ยวกับตลาดแรงงานสหรัฐ และจะเป็นปัจจัยหนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
ณ เวลา 21.31 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน บวก 0.19% สู่ระดับ 97.89 ขณะที่ดอลลาร์แข็งค่า 0.12% สู่ระดับ 1.172 เทียบยูโร และขยับขึ้น 0.08% สู่ระดับ 147.17 เยน
ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ร่วงลงวานนี้ และดิ่งลง 10% นับตั้งแต่ต้นปี 2568 ทำสถิติทรุดตัวลงมากที่สุดเมื่อเทียบรายปีนับตั้งแต่ปี 2546 ซึ่งขณะนั้นดอลลาร์ร่วงลงถึง 14.6%
ออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) เปิดเผยว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐลดลง 32,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นการทรุดตัวของการจ้างงานครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 2 ปีครึ่ง หรือนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2566 และสวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าเพิ่มขึ้น 52,000 ตำแหน่ง
วุฒิสภาสหรัฐจะพักการประชุมในวันนี้ เนื่องในวัน Yom Kippur หรือที่เรียกว่า "วันชดใช้บาป" (Day of Atonement) ซึ่งเป็นวันสำคัญที่สุดวันหนึ่งของศาสนายิว ก่อนที่จะเปิดการประชุมอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ และอาจมีการลงมติครั้งใหม่ต่อร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราว ทำให้สหรัฐจะอยู่ในภาวะชัตดาวน์ หรือการปิดหน่วยงานรัฐบาล ติดต่อกันอย่างน้อย 3 วัน
ในการประชุมวานนี้ วุฒิสภาสหรัฐได้ทำการลงมติเป็นครั้งที่ 2 ต่อร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราว หลังจากที่ไม่สามารถผ่านร่างกฎหมายดังกล่าวในวันอังคาร
อย่างไรก็ดี ผลการลงมติวานนี้ ปรากฎว่าวุฒิสภาอนุมัติร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวด้วยคะแนนเสียงเพียง 55 เสียง ขณะที่คัดค้าน 45 เสียง ซึ่งคะแนนเสียงดังกล่าวไม่เปลี่ยนแปลงจากการลงมติเมื่อวันอังคาร โดยพรรครีพับลิกันยังคงไม่สามารถรวบรวมเสียงสนับสนุนมากถึง 60 เสียงตามที่กฎหมายกำหนด ส่งผลให้ร่างงบประมาณดังกล่าวตกไป และทำให้สหรัฐยังคงอยู่ในภาวะชัตดาวน์
การชัตดาวน์จะส่งผลให้กระทรวงแรงงานสหรัฐไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่ ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานในวันที่ 2 ต.ค., ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรในวันที่ 3 ต.ค. และดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ในวันที่ 15 ต.ค. ซึ่งล้วนเป็นตัวเลขสำคัญต่อการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ก่อนจัดการประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 28-29 ต.ค.
ขณะนี้ ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าการชัตดาวน์ในรอบนี้จะกินเวลานานเพียงใด หลังจากที่ปธน.ทรัมป์เคยสร้างสถิติชัตดาวน์นานถึง 35 วันในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก ซึ่งเป็นระยะเวลาชัตดาวน์ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐ ท่ามกลางความขัดแย้งเกี่ยวกับการสร้างกำแพงกั้นแนวชายแดนระหว่างสหรัฐและเม็กซิโก ซึ่งจบลงด้วยการที่สภาคองเกรสยอมผ่านร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราว โดยแลกกับการที่งบประมาณฉบับดังกล่าวไม่มีการตั้งวงเงินสำหรับการสร้างกำแพงตามที่ปธน.ทรัมป์เรียกร้อง