ดอลลาร์แข็งค่า สวนทางยูโร,เยนร่วงวันที่ 2

ข่าวต่างประเทศ Tuesday October 7, 2025 22:20 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดอลลาร์แข็งค่าเทียบสกุลเงินหลัก สวนทางยูโรและเยนที่อ่อนค่าลงติดต่อกันเป็นวันที่ 2

ณ เวลา 22.08 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน บวก 0.34% สู่ระดับ 98.446 ขณะที่ดอลลาร์แข็งค่า 0.35% สู่ระดับ 1.167 เทียบยูโร และดีดตัว 0.47% สู่ระดับ 151.05 เยน

ทั้งนี้ เยนถูกกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับการที่รัฐบาลญี่ปุ่นจะเพิ่มการใช้จ่ายทางการคลัง หลังจากที่นางซานาเอะ ทาคาอิจิ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการภายในของญี่ปุ่น ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ซึ่งจะปูทางให้นางทาคาอิจิก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของญี่ปุ่น

ส่วนยูโรอ่อนค่าลง ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับภาวะไร้เสถียรภาพทางการเมืองในฝรั่งเศส หลังจากที่นายเซบาสเตียน เลอกอร์นู นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส ประกาศลาออกจากตำแหน่งวานนี้

นักลงทุนจับตาความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาการปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐ หรือชัตดาวน์

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ กล่าวว่า พรรครีพับลิกันกำลังเจรจากับพรรคเดโมแครตเพื่อแก้ไขปัญหาชัตดาวน์ ซึ่งการเจรจาเป็นไปด้วยดี

'เรากำลังเจรจากับพรรคเดโมแครตในขณะนี้ ซึ่งอาจนำไปสู่สิ่งที่ดีมาก ๆ และผมกำลังพูดถึงสิ่งที่ดีในเรื่องเกี่ยวกับระบบประกันสุขภาพ' ปธน.ทรัมป์กล่าวในห้องทำงานรูปไข่ที่ทำเนียบขาว

อย่างไรก็ดี นายชัค ชูเมอร์ แกนนำพรรคเดโมแครตในวุฒิสภา ปฏิเสธเรื่องดังกล่าว โดยได้โพสต์ข้อความบน X ระบุว่า 'เรื่องนี้ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด หากพรรครีพับลิกันพร้อมที่จะนั่งลงและทำบางสิ่งให้สำเร็จเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพสำหรับครอบครัวชาวอเมริกัน พรรคเดโมแครตจะอยู่ตรงนั้น และพร้อมที่จะทำให้มันเกิดขึ้น'

ทั้งนี้ การชัตดาวน์ได้ย่างเข้าสู่วันที่ 7 หลังจากสหรัฐเข้าสู่ภาวะชัตดาวน์อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 ต.ค. ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 7 ปี และครั้งที่ 3 ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

เหตุการณ์ชัตดาวน์ในครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 15 นับตั้งแต่ปี 2524 และกำลังมีแนวโน้มจะกลายเป็นการปิดหน่วยงานรัฐบาลที่ยาวนานเป็นอันดับ 4 ในประวัติศาสตร์สหรัฐ โดยจะมีระยะเวลามากกว่าการชัตดาวน์ 6 วันที่เกิดขึ้นในปี 2538 ส่วนการชัตดาวน์ที่ยาวนานที่สุดกินเวลาถึง 35 วัน โดยเกิดขึ้นในวันที่ 22 ธ.ค.2561-25 ม.ค.2562 ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ดำรงตำแหน่งสมัยแรก

อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันจะเผชิญแรงกดดันให้หาทางยุติภาวะชัตดาวน์ภายในสัปดาห์หน้า เพื่อหลีกเลี่ยงการที่ทหารประจำการกว่า 1.3 ล้านนาย รวมทั้งสมาชิกกองกำลังพิทักษ์ชาติหลายแสนนาย และเจ้าหน้าที่พลเรือนจำนวนมากของกระทรวงกลาโหม จะไม่ได้รับเงินเดือนตามกำหนดในวันที่ 15 ต.ค. หากการชัตดาวน์ยังคงยืดเยื้อต่อไป

ทั้งนี้ พรรครีพับลิกัน ซึ่งครองทำเนียบขาวและมีเสียงข้างมากเพียงเล็กน้อยทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ต้องการผลักดันร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวเพื่อคงการจัดสรรงบประมาณในระดับปัจจุบันไปจนถึงวันที่ 21 พ.ย. โดยพวกเขาจำเป็นต้องได้เสียงสนับสนุนจากพรรคเดโมแครตอย่างน้อย 7 เสียงในวุฒิสภาเพื่อผ่านร่างกฎหมายดังกล่าว

อย่างไรก็ดี พรรคเดโมแครตยื่นข้อเรียกร้องหลายประการ รวมถึงการให้ร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวต้องมีการขยายสิทธิประโยชน์ด้านภาษี Obamacare ที่เพิ่มขึ้น ก่อนที่จะหมดอายุในช่วงสิ้นปีนี้ โดยสิทธิประโยชน์ดังกล่าวจะช่วยลดค่าเบี้ยประกันสุขภาพสำหรับผู้เอาประกันจำนวนมากที่ลงทะเบียนในโครงการประกันสุขภาพตามกฎหมาย Affordable Care Act แต่พรรครีพับลิกันปฏิเสธ โดยกล่าวหาว่าเดโมแครตกำลัง "จับรัฐบาลเป็นตัวประกัน" เนื่องจากไม่ยอมให้มีการผ่านงบประมาณ เว้นแต่จะได้ตามข้อเรียกร้องด้านสิทธิประโยชน์ดังกล่าว

แกนนำรีพับลิกันยืนยันว่า การผ่านร่างกฎหมายต่ออายุการจัดสรรงบประมาณแบบ "สะอาด" ของพวกเขา โดยไม่มีการพ่วงสิทธิประโยชน์ที่กำลังเป็นที่ถกเถียงกัน ไม่ใช่เกมการเมือง และการเจรจาแก้ไขความขัดแย้งสามารถดำเนินต่อไปได้โดยไม่ต้องปิดหน่วยงานรัฐบาล

นักลงทุนจับตาถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ย ขณะที่สหรัฐกำลังอยู่ในช่วงชัตดาวน์ ส่งผลให้ไม่มีการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจในระยะนี้

เจ้าหน้าที่เฟดหลายรายจะกล่าวสุนทรพจน์ในสัปดาห์นี้ รวมทั้งนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ซึ่งมีกำหนดกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมว่าด้วยธนาคารชุมชนที่กรุงวอชิงตัน ดีซี ในวันที่ 9 ต.ค. เวลา 08.30 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือ 19.30 น.ตามเวลาไทย

ตลาดจับตาถ้อยแถลงของนายพาวเวล เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด รวมทั้งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐจากภาวะชัตดาวน์

นักลงทุนเทน้ำหนักต่อคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนนี้ หลังสหรัฐเผชิญภาวะชัตดาวน์ รวมทั้งการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานที่อ่อนแอของสหรัฐ

FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 92.5% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 3.75-4.00% ในการประชุมเดือนต.ค.

นอกจากนี้ นักลงทุนให้น้ำหนัก 79.7% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 3.50-3.75% ในการประชุมเดือนธ.ค.


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ