ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นในวันนี้ ขานรับตัวเลขภาคการผลิตที่แข็งแกร่งของสหรัฐ หลังจากถูกกดดันในวันศุกร์ จากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เสนอให้สหรัฐเลื่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่มีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 3 พ.ย. และจากการที่สหรัฐเปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 2/2563 ซึ่งหดตัวรุนแรงที่สุดในรอบกว่า 70 ปี โดยได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ณ เวลา 23.24 น.ตามเวลาไทย ดอลลาร์แข็งค่า 0.22% สู่ระดับ 106.11 เยน ขณะที่ยูโรปรับตัวลง 0.05% สู่ระดับ 124.67 เยน และร่วงลง 0.21% สู่ระดับ 1.1750 ดอลลาร์ ส่วนดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน บวก 0.30% สู่ระดับ 93.63
ผลสำรวจของสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) ระบุว่า ดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐดีดตัวขึ้นสู่ระดับ 54.2 ในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.ปีที่แล้ว จากระดับ 52.6 ในเดือนมิ.ย. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 53.6
ดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐยังคงอยู่สูงกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะขยายตัว โดยได้แรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของคำสั่งซื้อใหม่ และการจ้างงาน
การดีดตัวของดัชนีภาคการผลิตในเดือนก.ค.ได้รับปัจจัยบวกจากการที่รัฐบาลผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ หลังจากมีการปิดเศรษฐกิจก่อนหน้านี้เพื่อสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
นอกจากนี้ ไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของสหรัฐ ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 50.9 ในเดือนก.ค. จากระดับ 49.8 ในเดือนมิ.ย.
ดัชนี PMI อยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะขยายตัวของภาคการผลิตของสหรัฐ หลังจากหดตัวติดต่อกัน 4 เดือน โดยได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ดัชนี PMI ปรับตัวขึ้นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนก.พ. โดยได้แรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของคำสั่งซื้อใหม่ ขณะที่ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 5 เดือน แม้ว่าการจ้างงานยังคงชะลอตัว