อัตราดอกเบี้ย Shibor ซึ่งเป็นมาตรวัดต้นทุนการปล่อยกู้ระหว่างธนาคารนั้น ปรับตัวขึ้นเมื่อวันพุธที่ผ่านมา โดยอัตราดอกเบี้ยประเภท 1 เดือนพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 5 เดือนที่ 5.2770% ส่วนอัตราดอกเบี้ยประเภท 3 เดือน เพิ่มขึ้นรายวันสูงสุดถึง 0.17% ในรอบปี
ผู้จัดการด้านการลงทุนคนหนึ่งในกรุงปักกิ่ง ซึ่งที่ไม่ประสงค์จะเปิดเผยชื่อ กล่าวกับสำนักข่าวซินหัวว่า ตลาดตกอยู่ภายใต้ภาวะสภาพคล่องตึงตัวตั้งแต่วันอังคารที่ผ่านมา มีธนาคารพาณิชย์เพียงไม่กี่แห่งที่เต็มใจปล่อยกู้ เนื่องจากสภาพคล่องที่ย่ำแย่ลง
ด้านนักวิเคราะห์มองว่า สถานการณ์ที่เป็นเช่นนี้ เนื่องจากการเปิดขายหุ้นไอพีโอ การครบกำหนดไการชำระของโครงการปล่อยสินเชื่อระยะกลาง (MLF) และการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของธนาคารต่างๆ เพื่อดึงดูดเม็ดเงินฝากเข้ามาให้อยู่ในระดับที่สอดคล้องกับเป้าหมายรายปี
การเปิดซื้อขายหุ้นไอพีโอรอบล่าสุดจากบริษัท 12 บริษัทในปีนี้ จะเริ่มเปิดฉากขึ้นในสัปดาห์นี้ ซึ่งเรื่องนี้ได้รับตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุนในตลาดหุ้นซึ่งกันเงินไว้สำหรับการลงทุนในหุ้นไอพีโอ ท่ามกลางการปรับตัวสูงขึ้นของตลาด
ทางด้านกัวไถ่ จูหนาน ซิเคียวริตีส์ ประเมินว่า จะมีเม็ดเงินทุนที่ถูกกันไว้เพื่อรอหุ้นไอพีโอถึง 2.4 ล้านล้านหยวน หรือ 3.92 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงเป็นประวัติการณ์ จนทำให้เกิดภาวะขาดแคลนเงินสด
เฉิง หลง นักวิเคราะห์ของธนาคารแบงก์ ออฟ ตงกวน กล่าวว่า แม้ว่าจะไม่มีการเปิดซื้อขายหุ้นไอพีโอ ตลาดเงินก็ยังคงได้รับผลกระทบจากโครงการปล่อยสินเชื่อระยะกลางมูลค่า 5 แสนล้านหยวนที่ธนาคารกลางจีนดูแลเมื่อ 3 เดือนที่แล้วนั้น จะครบกำหนดการชำระในเร็วๆนี้
โครงการปล่อยสินเชื่อระยะกลางนี้ เชื่อกันว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ธนาคารขนาดใหญ่ของรัฐบาลลังเลที่จะปล่อยกู้ในตลาดอินเตอร์แบงก์
แม้ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นนี้ แต่ธนาคารกลางจีนก็ยังไม่ได้ออกมาแสดงจุดยืนที่จะรับมือกับสถานการณ์ และยังคงระงับการซื้อพันธบัตรโดยมีสัญญาขายคืน (Reverse Repo) ในวันอังคารที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า มีโอกาสสูงมากที่ธนาคารกลางจีนจะอัดฉีดสภาพคล่อง รวมทั้งโอกาสที่จะปรับลดสัดส่วน RRR ลง
นายเฉิง กล่าวว่า แบงก์ชาติจีนจะต้องออกมาตรการเพื่ออัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบในเร็วๆนี้ แม้ว่าตลาดหุ้นจะร้อนแรง เงินหยวนจะอ่อนค่าลง และกระแสเงินร้อนไหลออกจากจำกัดการออกมาตรการที่เคร่งครัดก็ตาม
นอกจากนี้ นายเฉิงกล่าวว่า ในขณะที่ภาวะกดดันด้านเงินสดยังคงเกิดขึ้นอยู่นี้ การปรับลด RRR และการเปิดซื้อขายสัญญาซื้อคืนพันธบัตร จึงมีโอกาสสูงขึ้น
ทางด้านนายซู่ เกา หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของเอเวอร์ไบรท์ ซิเคียวริตีส์ ก็มีความเห็นไปในทำนองเดียวกันว่า สภาพคล่องที่ตึงตัวนี้ทำให้ต้นทุนการระดมทุนสูง ซึ่งขัดแย้งกับความตั้งใจของธนาคารกลางที่จะลดต้นทุนในการระดมทุนในระบบเศรษฐกิจที่แท้จริง
กระแสการคาดการณ์ในตลาดลุกลามออกมาหลังจากที่ธนาคารกลางจีนได้ลดอัตราดอกเบี้ยลงเมื่อวันที่ 21 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยนักลงทุนคาดการณฺ์ว่า ธนาคารกลางจีนจะผ่อนคลายมาตรการเพิ่มเติม, ลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกครั้ง หรือลด RRR ลงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
การคาดการณ์ดังกล่าวนับว่ามีมูลเหตุ เนื่องจากเงินเฟ้อที่อ่อนตัวลงของจีนทำให้เกิดการเบี่ยงเบนได้ในกลุ่มผู้บริหารระดับนโยบายในการที่จะใช้มาตรการด้านการเงินที่ผิ่อนคลายมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ความสอดคล้องที่เกี่ยวเนื่องกันของรัฐบาลจีนในเรื่องนโยบานการเงินที่รอบคอบนี้ถูกตอกย้ำในช่วงการประชุมด้านนโยบายเศรษฐกิจระดับสูงเมื่อสัปดาห์ที่แล้วที่ทำให้เกิดข้อกังขาเกี่ยวกับการผิ่อนคลายมาตรการ
นอกจากนี้ แหล่งข่าวด้านการเงินมองว่า หุ้นที่ดีดตัวสวนทางคาดการณ์ และการลงทุนที่อ่อนตัวลงจะทำให้ธนาคารกลางจีนลังเลเมื่อต้องพิจารณาเรื่องการดำเนินการต่างๆไปจนถึงการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ
นายเผิง ซิงหยุน นักวิจัยของสถาบัน Institute of Finance and Banking ภายใต้สถาบันสังคมศาสตร์จีน กล่าวว่า การปรับลด RRR ลงนี้ จะกลายมาเป็นแนวโน้มของการปรับด้านนโยบายในระยะกลางไปจนถึงระยะยาว ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เป็นบวกในเรื่องของอัตราดอกเบี้ย และยังปูทางไปสู่การเปิดเสรีด้านอัตราดอกเบี้ย
ทั้งนี้ ธนาคารกลางจีนได้ลด RRR แบบกำหนดเป้าหมายสำหรับธนาคารพาณิชย์บางแห่งเมื่อเดือนเม.ย.และมิ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งก่อนหน้านี้ แบงก์ชาติจีนก็เคยปรับลด RRR ลงมาแล้วย้อนไปจนถึงเมื่อเดือนพ.ค. 2555 สำนักข่าวซินหัวรายงาน