ปี 2560 เป็นปีที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐสามารถผลักดันกฎหมายปฏิรูประบบภาษีครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 3 ทศวรรษจนมีผลบังคับใช้ได้สำเร็จ แม้ว่ามาตรการปฏิรูปดังกล่าวจะยังไม่สมบูรณ์แบบในสายตาของผู้คนจำนวนมาก แต่คาดว่าระบบภาษีใหม่นี้จะมอบประโยชน์อย่างมหาศาลให้แก่องค์กรธุรกิจและประชาชนชาวอเมริกัน โดยจะช่วยกระตุ้นภาคส่วนต่างๆของเศรษฐกิจสหรัฐในปี 2561 อย่างมีนัยสำคัญ
นายจีน พานาเซนโก ที่ปรึกษาด้านการเงินอาวุโสในนิวยอร์ก ซิตี้ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซินหัวว่า กฎหมายภาษีใหม่ของสหรัฐจะช่วยลดภาระภาษีแก่ประชาชนทุกระดับในสหรัฐ
ทั้งนี้ บรรดาผู้สนับสนุนนโยบายดังกล่าวระบุว่า กฎหมายภาษีฉบับใหม่ไม่เพียงแต่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนในสหรัฐเท่านั้น แต่ยังช่วยกระตุ้นตลาดต่างๆและส่งเสริมให้ภาคธุรกิจจ้างงานเพิ่มขึ้น ถึงแม้ว่าฝ่ายคัดค้านจะเห็นว่า กฎหมายปฏิรูปภาษีของทรัมป์จะเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มคนที่ร่ำรวยก็ตาม
พานาเซนโก กล่าวว่า กฎหมายภาษีใหม่จะลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจากระดับ 35% เหลือ 21% ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถของสหรัฐในการแข่งขันกับประเทศอุตสาหกรรมอื่นๆ และจูงใจบริษัทอเมริกันไม่ให้ย้ายโรงงานผลิตหรือฐานการดำเนินงานไปยังประเทศอื่นๆที่เก็บภาษีต่ำกว่า
เขากล่าวเสริมว่า ไม่เพียงแต่บริษัทขนาดใหญ่ที่จะได้ประโยชน์จากระบบภาษีใหม่เท่านั้น แต่ธุรกิจขนาดเล็กจะได้ประโยชน์มากมายเช่นกัน
พานาเซนโก กล่าวว่า นโยบายปรับลดภาษีของสหรัฐเริ่มแสดงให้เห็นผลลัพธ์เชิงบวกบ้างแล้ว โดยบริษัทรายใหญ่บางแห่งเปิดเผยว่าได้จ่ายเงินโบนัสให้กับพนักงานอันเนื่องมาจากกฎหมายดังกล่าว นอกจากนี้ บริษัทเหล่านี้ยังเปิดเผยแผนการที่จะจ้างพนักงานเพิ่มขึ้นในอนาคตอีกด้วย
สำหรับชาวอเมริกันชนชั้นกลางจะได้ประโยชน์จากกฎหมายปฏิรูปภาษี โดยจะสามารถออมเงินได้มากขึ้นถึง 50%
นอกจากนี้ พานาเซนโก กล่าวทิ้งท้ายว่า กฎหมายภาษีใหม่ของทรัมป์จะมอบประโยชน์ในลักษณะ "win-win" แก่ทุกฝ่าย และการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกครั้งนี้จะส่งผลกระทบในลักษณะลูกโซ่ และจะช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐได้อย่างแน่นอน
บทวิเคราะห์โดยแมทธิว รัสลิง
สำนักข่าวซินหัวรายงาน