ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เปิดเผยรายงานนโยบายการเงินฉบับล่าสุดต่อสภาคองเกรสเมื่อวันศุกร์ (20 มิ.ย.) โดยระบุว่าระบบการเงินของสหรัฐฯ ยังคงแสดงความยืดหยุ่น แม้เผชิญกับความไม่แน่นอนจากภายนอก ขณะที่ตลาดแรงงานยังอยู่ในภาวะแข็งแกร่ง และอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูงพอประมาณ
รายงานดังกล่าวยังชี้ให้เห็นว่า ผลกระทบจากมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์นั้นเพิ่งเริ่มส่งผลต่อเศรษฐกิจ และยังต้องใช้เวลาในการประเมินทิศทางที่ชัดเจน เฟดยังคงยึดแนวทางระมัดระวัง โดยยังไม่เร่งดำเนินนโยบายการเงินเพิ่มเติมในช่วงนี้
อย่างไรก็ตาม แม้ยังไม่สามารถตรวจวัดผลของภาษีโดยตรงจากดัชนีราคาผู้บริโภคได้ แต่รูปแบบการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าหลายหมวดในช่วงปีนี้ บ่งชี้ว่า มาตรการภาษีนำเข้าอาจเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ผลักดันให้เงินเฟ้อในหมวดสินค้าทั่วไปเพิ่มขึ้น
ในสินค้าบางกลุ่ม เช่น รถยนต์ รายงานระบุว่าผลของภาษียังไม่สะท้อนในข้อมูลอย่างเป็นทางการ แต่ผลกระทบเริ่มปรากฏในแง่ของความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและภาคธุรกิจที่อ่อนแอลง
รายงานซึ่งออกปีละสองครั้งนี้ มักทำหน้าที่สรุปสถานการณ์เศรษฐกิจและการเงินโดยรวม เพื่อประกอบการตัดสินใจของรัฐสภาและนักลงทุน โดยในการประชุมกำหนดนโยบายล่าสุดเมื่อวันพุธ (18 มิ.ย.) เฟดยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในกรอบ 4.254.5% ซึ่งเป็นระดับที่ใช้ต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนธ.ค.ปีที่แล้ว
เฟดให้เหตุผลว่า จำเป็นต้องรอดูผลกระทบจากนโยบายการค้าของรัฐบาล โดยเฉพาะมาตรการภาษี ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงในตลาดแรงงานและเงินเฟ้อ ก่อนจะพิจารณาปรับนโยบายการเงินในอนาคต โดยเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดคาดว่า อัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้า และผู้กำหนดนโยบายส่วนใหญ่ยังประเมินว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ น่าจะชะลอตัวในระยะสั้น พร้อมกับอัตราการว่างงานที่อาจเพิ่มขึ้นแตะระดับ 4.5% ภายในปีนี้