ธนาคารกลางบราซิลมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 15.00% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 19 ปี ในการประชุมเมื่อวันพุธ (30 ก.ค.) โดยเป็นการพักการปรับขึ้นดอกเบี้ยที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่เพิ่มสูงขึ้นจากกรณีที่สหรัฐฯ อาจขึ้นภาษีการค้า
การตัดสินใจของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (Copom) ของธนาคารกลาง เป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ และถือเป็นการยุติวงจรการขึ้นดอกเบี้ยที่ดำเนินมา 7 ครั้งติดต่อกัน ทั้งนี้ ในแถลงการณ์ประกอบการประชุม ธนาคารกลางได้สยบกระแสคาดการณ์เรื่องการลดดอกเบี้ยในอนาคต โดยส่งสัญญาณว่าต้นทุนการกู้ยืมจะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไป "เป็นระยะเวลายาวนานมาก"
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธนาคารกลางใช้ท่าทีระมัดระวัง คือการที่สหรัฐฯ ขู่จะเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากบราซิลในอัตรา 50% ซึ่งผู้กำหนดนโยบายระบุว่าทำให้แนวโน้มเศรษฐกิจโลก "มีความผันผวนและไม่แน่นอนมากขึ้น" โดยคณะกรรมการฯ ระบุว่ากำลัง "ติดตามการประกาศเกี่ยวกับมาตรการทางภาษีอย่างใกล้ชิด" ซึ่งตอกย้ำถึงความจำเป็นที่ต้องดำเนินนโยบายอย่างรอบคอบ
อย่างไรก็ดี ภายหลังการประชุมดังกล่าว ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเมื่อวันพุธเพื่อเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากบราซิลเพิ่มอีก 40% ส่งผลให้อัตราภาษีนำเข้ารวมเพิ่มขึ้นเป็น 50%
นักวิเคราะห์กล่าวว่าแถลงการณ์ของธนาคารกลางได้ทำลายความหวังที่จะเห็นการผ่อนคลายนโยบายในระยะสั้นลง โดยนักเศรษฐศาสตร์มองว่าการสื่อสารดังกล่าวมีท่าทีค่อนข้างแข็งกร้าว (hawkish) เนื่องจากธนาคารกลางยังคงตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อไว้เท่าเดิม ในขณะที่ตลาดคาดว่าจะมีการปรับลดตัวเลขคาดการณ์ลงเล็กน้อย
Copom คาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อรายปีจะแตะระดับ 3.4% ในไตรมาสแรกของปี 2570 ซึ่งเป็นกรอบเวลาหลักที่ใช้พิจารณาการตัดสินใจในปัจจุบัน ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางยังคงคาดการณ์เงินเฟ้อสำหรับปีนี้และปีหน้าไว้ที่ 4.9% และ 3.6% ตามลำดับ
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา อัตราเงินเฟ้อของบราซิลยังคงอยู่สูงกว่าเป้าหมายทางการที่ 3% อย่างต่อเนื่อง โดยมีแรงหนุนจากเศรษฐกิจที่เติบโตแข็งแกร่ง มาตรการกระตุ้นจากภาครัฐ และภาวะตลาดแรงงานที่ตึงตัว
แม้จะมีการพักการขึ้นดอกเบี้ยในครั้งนี้ แต่คณะผู้กำหนดนโยบายเตือนว่า "จะไม่ลังเลที่จะกลับมาขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง" หากเงินเฟ้อไม่ชะลอตัวลงตามที่คาดไว้